นักโทษประหารด้วยการยิงเป้ารายที่ ๖๓
น.ช.เม้า ดิษฐวงษ์ ไม่ทราบอายุและหมายเลขประจำตัว คดีกบฏภายนอกราชอาณาจักร ศาลพิเศษตัดสินตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๑๑๐(๓)
ในช่วงต้นปีพ.ศ.๒๔๘๓ ได้เกิดกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส มีการจัดเตรียมกำลังและแผนการต่างๆ เพื่อช่วงชิงและยึดพื้นที่ประเทศไทยทั้งหมดหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง เนื่องจากเป็นช่วงที่ฝรั่งเศสยังเป็นประเทศล่าอาณานิคม ซึ่งในขณะนั้นทั้งลาวและเวียดนามรวมทั้งแผ่นดินไทยบางส่วนได้ตกเป็นเมือง ขึ้นของฝรั่งเศสไปก่อนแล้ว เมื่อฝรั่งเศสจัดเตรียมกำลังที่จะยึดแผ่นดินไทยเพิ่มเติมหรือทั้งหมด ทางการไทยจึงจัดเตรียมกำลังและอาวุธยุทโธปกรณ์ไว้ต่อต้านการบุกผืนแผ่นดิน ไทยในครั้งนี้ ซึ่งกำลังทหาร ตำรวจ และที่ตั้งฐานของอาวุธต่างๆนั้นถือเป็นความลับสุดยอด จึงมีการส่งคนเข้ามาจารกรรมข้อมูลทางทหารและแผนการป้องกันประเทศของไทยเพื่อ ส่งกลับไปให้ฝ่ายฝรั่งเศสทราบ
จนกระทั่งเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๘๓ รัฐบาลฝรั่งเศสในนามอินโดจีนฝรั่งเศสได้ใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธ เปิดฉากโจมตีไทยตามแนวชายแดนไทย-ลาว บริเวณพื้นที่อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม มีการส่งเครื่องบินเข้ามาโจมตีทิ้งระเบิดใส่กำลังฝ่ายไทย ซึ่งฝ่ายไทยตอบโต้ด้วยปืนป.ต.อ. และปืนกลซึ่งตั้งฐานซุ่มซ่อนตามจุดต่างๆ
นายเม้า ดิษฐวงษ์ เป็นคนเชื้อชาติญวน นับถือศาสนาโรมันคาโทริก เกิดที่เกาะคอนโดนของอินโดจีนฝรั่งเศษ มีภรรยาเป็นลูกครึ่งฝรั่งเศษ ลูกสาวแต่งงานกับท้าวอุดมซึ่งทำงานอยู่กับคนฝรั่งเศษ นายเม้ามีโรงเลื่อยอยู่ที่บ้านท่าควายจังหวัดนครพนม และเป็นผู้ดูแลไม้ให้กับบริษัทของฝรั่งเศษอีก ๑ แห่ง มีบาทหลวงชาวฝรั่งเศสไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ
นายเม้าถูก ติดตามตัว จับกุมพร้อมญาติอีกสองคนเมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๘๓ ในข้อหาเอาใจเผื่อแผ่รัฐบาลอินโดจีนฝรั่งเศสซึ่งเป็นราชศัตรู ทำการสืบสวนและสอดแนมข้อราชการทหาร ตำรวจ ที่มั่นทหารตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์อันปกปิดเป็นความลับในราชการ สำหรับป้องกันมิให้เกิดเป็นภยันตรายแก่ราชอาณาจักรไทย แล้วนำไปแจ้งแก่รัฐบาลฝรั่งเศษ โดยบอกตำบลที่ตั้งปืนกลและปืนต่อสู้อากาศยานของกองทัพไทยให้แก่กองทหารฝรั่ง เศษ จนเป็นเหตุให้กองทหารฝรั่งเศษทราบตำบลที่ตั้งอาวุธยุทธภัณฑ์เหล่านี้ แล้วได้นำเครื่องบินมาทิ้งลูกระเบิดถูกอาวุธยุทธภัณฑ์เหล่านี้เสียหาย ซึ่งนายเม้าให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด
จากการสืบพยานจำนวนหลายราย ได้ระบุว่าเมื่อเกิดกรณีพิพาทระหว่างประเทศไทยกับอินโดจีนฝรั่งเศสแล้วนั้น ทางตำรวจจังหวัดนครพนมได้เริ่มรักษาการณ์ตามริมฝั่งแม่น้ำโขงตั้งแต่เดือน ตุลาคม พ.ศ.๒๔๘๓ พร้อมกับประกาศห้ามมิให้ราษฎรข้ามไปมา แต่ก็ยังมีคนญวนที่มีพวกพ้องอยู่ทางฝั่งอินโดจีนฝรั่งเศสลอบข้ามไปมาอยู่ เสมอ ซึ่งทางตำรวจสืบทราบมาว่า ผู้ที่ข้ามไปแล้วกลับมาได้จะต้องเป็นผู้ให้ข่าวคราวความเคลื่อนไหวของฝ่าย ไทยแก่ฝ่ายอินโดจีนฝรั่งเศส หากไม่มีข้อมูลให้ ทางอินโดจีนฝรั่งเศสก็จะจับตัวไว้ไม่ปล่อยกลับมา
ต่อมาต้นเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๘๓ ทางการได้ส่งกำลังทหารเหล่าต่างๆ ได้แก่ ทหารราบ ป.ต.อ. ปืนกลหนัก ปืนกลเบา พร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์อื่นๆไปเสริมกำลังตำรวจที่มีอยู่ เพื่อป้องกันการรุกรานของอินโดฝรั่งเศส ซึ่งทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นความลับ แต่มีผู้กระทำการจารกรรม สืบความเคลื่อนไหวของทหาร ตำรวจ เพื่อนำไปแจ้งแก่อินโดฝรั่งเศสซึ่งเป็นราชศัตรู
สำหรับนายเม้านั้น พยานต่างระบุว่านายเม้าเป็นผู้ฝักใฝ่ในอินโดจีนฝรั่งเศสมาก เพราะนายเม้านับถือศาสนาโรมันคาทอลิค ทั้งเป็นคนที่เกิดเกาะคอนโดของอินโดจีนฝรั่งเศส พี่น้องลูกเมียต่างก็มีความสัมพันธ์กับอินโดจีนฝรั่งเศสทั้งสิ้น ครั้นเมื่อเกิดกรณีพิพาทขึ้น นายเม้าไปฟังวิทยุซึ่งทางราชการได้ประกาศเรื่องชาวหนองคายมอบโค ๕๐๐ ตัวแก่ทหาร นายเม้าพูดจาเป็นเชิงกล่าวหาว่าทางราชการประกาศเกินความจริง
เมื่อวิทยุไซง่อนโดยนายน้ำมันก๊าสประกาศข่าวให้ร้ายประเทศไทยอยู่นั้น นายเม้าก็ไปขอร้องให้ผู้มีวิทยุเปิดรับข่าวจากไซง่อน ถ้าเขาไม่เปิดให้นายเม้าก็จะไปเปิด เครื่องดักฟัง เอง แม้กระทั่งข่าวสงครามระหว่างเยอรมันกับฝรั่งเศส นายเม้าก็เอาใจช่วยฝรั่งเศสอย่างเห็นได้ชัด ถ้ามีข่าวฝรั่งเศสเพลี่ยงพล้ำต่อฝ่ายเยอรมัน นายเม้าก็จะพูดคัดค้านว่าไม่เป็นความจริง
ระหว่างที่อยู่ฝั่งไทย มีพยานเคยเห็นนายเม้าที่สโมสรนครพนมกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ แต่มีเด็กอายุประมาณ ๑๔ ปีนำจดหมายมาให้สองสามฉบับ นายเม้ารีบขี่จักรยานไปวัดโรมันคาทอลิค พยานตามไปดูก็เห็นนายเม้าส่งจดหมายให้บาทหลวง
วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๔๘๓ เวลาประมาณ ๘ นาฬิกา นายเม้าไปนั่งที่ร้านอาหารห่างจากที่ตั้งป.ต.อ. ราว ๓๐๐ เมตร จนกระทั่งเวลาประมาณ ๑๒ นาฬิกาเศษ เครื่องบินฝรั่งเศสจากเมืองท่าแขกบินเข้ามาโจมตีสนามบินของฝ่ายไทย ในขณะนั้นมีเครื่องบินฝ่ายไทยขึ้นสกัดกั้นหนึ่งลำ เครื่องบินฝรั่งเศสจึงบินหนีอ้อมไปทางด้านทิศใต้ ไม่บินมาทางที่ตั้งป.ต.อ.ของไทยซึ่งเป็นเส้นทางที่ควรจะบินหนีมาทางด้านนี้ โดยที่ป.ต.อ.ได้ซ่อนพรางไว้ในดงสาปเสืออย่างดี เครื่องบินไม่สามารถมองเห็นได้ จึงเชื่อว่าต้องมีผู้ส่งข่าวฐานที่ตั้งป.ต.อ.ให้กับฝ่ายอินโดจีนฝรั่งเศส ทราบ
นายเม้าได้แจ้งนายอำเภอเมืองนครพนมว่าที่เกาะคอนโดนมีราษฎรอยู่ประมาณ ๑๕๐ คน ซึ่งต้องการมาอยู่ในความดูแลของไทย ขอให้หน่วยป.ต.อ.ไปทำการยึดเกาะคอนโดนเพราะที่นั่นไม่มีทหารฝรั่งเศส แต่ก่อนที่ทหารจะข้ามไปตามคำแนะนำของนายเม้า มีพนักงานวิทยุประจำจังหวัดนครพนมแจ้งว่าเห็นนายเม้ารับเงินจำนวน ๕๐๐ บาทจากฝ่ายฝรั่งเศส ทำให้ผู้บังคับหมวดป.ต.อ.สงสัยนายเม้าจะไม่มีความซื่อสัตย์ต่อประเทศไทย จึงไม่ข้ามไป ต่อมาภายหลังจึงทราบว่าที่เกาะคอนโดนมีทหารฝรั่งเศสเอาปืนกลหนักไปตั้งรอไว้ ๓ กระบอก ถ้าทหารไทยข้ามไปคงเกิดการสูญเสียจำนวนมาก เชื่อว่านายเม้ามาหลอกให้ทหารไทยไปถูกฆ่า
นอกจากนั้นในระหว่างที่ทางการห้ามราษฎรข้ามฝั่งไปอินโดจีนฝรั่งเศส นายเม้าได้แอบข้ามไปเกาะคอนโดนหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายข้ามไปเมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๘๓ เวลา ๖นาฬิกาเศษ พอถึงเวลา ๗ นาฬิกาเศษ มีเครื่องบินฝรั่งเศสบินเข้ามาทิ้งระเบิดที่จังหวัดนครพนม จนเมื่อเครื่องบินกลับไปแล้วจึงเห็นนายเม้าข้ามกลับมาฝั่งไทย
ในการข้ามไปฝั่งอินโดจีนฝรั่งเศสของนายเม้า มีพยานระบุว่าเคยเห็นนายเม้ารับเงินจำนวน ๓๐๐ เหรียญจากคนของอินโดจีนฝรั่งเศส เมื่อสอบถามได้ความว่าเป็นเงินรางวัลจากเมืองท่าแขกส่งมาให้นายเม้า เพื่อตอบแทนที่ส่งข่าวทหารและตำรวจในฝั่งไทยไปให้ทราบ
หลังจากทางการได้จับกุมนายเม้าและญาติอีกสองคนแล้ว ได้ควบคุมตัวทั้งสามคนไว้ที่สถานีตำรวจอำเภอเมืองนครพนม และต่อมาได้มีการจับกุมบาทหลวงมาขังรวมด้วยอีกคนหนึ่ง มีพยานในห้องขังได้ยินนายเม้าคุยกับบาทหลวงว่า “ถูกจับมาเรื่องอะไร” บาทหลวงตอบ “เขาหาว่าฉายไฟในเวลากลางคืน” นายเม้าถามอีกว่า “หนังสือนั้นได้ทำลายหรือยัง” บาทหลวงถามกลับ “หนังสืออะไร” นายเม้าพูดว่า “หนังสือเงิน ให้ทำลายเสีย” บาทหลวงตอบว่า “ไม่ทำลายเพราะเป็นเงินส่วนตัวของบาทหลวง”
บาทหลวงยังได้สั่งนายเม้าและญาติว่าถ้าเขาถูกส่งไปกรุงเทพฯ ให้นายเม้าและญาติไปขุดเอาเงิน ๒๐๐ เหรียญที่ฝังไว้หลังบ้านไปเก็บไว้ด้วย เมื่อพยานในห้องขังนำเรื่องไปบอกตำรวจให้ทราบ จึงได้มีการยกกำลังไปขุดหาจนพบของกลางดังกล่าวถูกฝังอยู่ห่างจากบ้านของบาท หลวง ๑๐ เมตร ภายในมีเงินอยู่ ๒๐๘ เหรียญ และต่างหูอีก ๑ คู่
วันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๘๔ ศาลพิเศษพิจารณาว่า นายเม้ามีใจฝักใฝ่อยู่กับอินโดจีนฝรั่งเศสมาก แม้จะเคยช่วยเหลือราชการไทยหลายอย่าง เช่น ช่วยจับนักโทษที่หลบหนี แต่การช่วยเหลือราชการไทยนั้น นายเม้าหวังผลประโยชน์และความสะดวกในการทำมาหากินของตน เพราะได้เข้ามาหากินอยู่ในประเทศไทย แต่จิตใจยังคงนับถือฝรั่งเศสอยู่ การที่นายเม้าอ้างว่าได้ข้ามไปฝั่งอินโดจีนฝรั่งเศสเพราะทางราชการไทยใช้ให้ ไปนั้น ก็เบิกความได้ว่าทางการใช้ให้ไปเพียงสองครั้งคือไปเอาจดหมายจากลาว และให้ไปเกลี้ยกล่อมราษฎรที่เกาะคอนโดนตามคำขอร้องของนายเม้าเอง ส่วนการข้ามไปในครั้งอื่นไม่มีพยานมานำสืบหักล้าง
เมื่อจิตใจของนายเม้าเป็นอินโดจีนฝรั่งเศสลอบข้ามไปมาอยู่เช่นนี้ จึงเชื่อว่าจำเลยเอาใจเผื่อแผ่ช่วยราชศัตรูที่กำลังทำการรบพุ่งต่อราช อาณาจักรไทย โดยช่วยสอดแนมสืบกิจการ นำทางให้ราชศัตรูรอบรู้ข้อราชการเรื่องกำลังและที่ตั้งของทหาร ตำรวจ แห่งประเทศไทย นายเม้าจำเลยจึงมีความผิดฐานกบฏภายนอกราชอาณาจักร ตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๑๑๐ ข้อ๓ ให้ลงโทษประหารชีวิตนายเม้า ดิษฐวงษ์ ส่วนญาติของนายเม้า ให้ยกฟ้องปล่อยตัวไปทั้งสองคน
วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๘๔ ได้ทำการประหารชีวิตน.ช.เม้า ดิษฐวงษ์ ไม่ทราบเวลา นายทิพย์ มียศ เพชฌฆาตผู้ทำหน้าที่ประหารชีวิต
ขอบคุณข้อมูลจาก เพจ แฟนคลับยุทธ บางขวาง