
"ศิษย์ของข้าพเจ้า"
เรื่องที่ท่านจะได้ฟังต่อไปนี้ เป็นตอนที่แผนกช่างก่อสร้างชั้นสูง ย้ายไปอาศัยอยู่ที่โรงเรียนวัดแก้วฟ้า สี่พระยา
ตอนนั้นข้าพเจ้าเป็นครูประจำชั้นปีที่ ๓ ค. เช่าบ้านอยู่ที่ปลายตรอกพระยาดำรงฯ สพานเหลือง ตามปกติตอนเย็นๆถึงตอนหัวค่ำ มีศิษย์ไปเยี่ยมเยียนข้าพเจ้าเสมอ เพราะฉะนั้นนักเรียนโดยมาก จึงรู้จักที่อยู่ของข้าพเจ้าดี
คืนวันหนึ่ง จะเป็นวันที่เท่าไรจำไม่ได้ แต่ดูเหมือนจะเป็นตอนปลายเดือนมกราคม พ.ศ.๒๔๘๖ เวลาประมาณ ๙.๐๐ น. กว่าๆ มีสัญญาณภัยทางอากาศ ครู่ใหญ่ๆเราได้ยินเสียงเครื่องบิน ข้าพเจ้ากับน้องขึ้นไปที่บนดาดฟ้าชั้นบน ซึ่งมีลานกว้างพอที่จะมองได้เกือบรอบด้าน พอดีได้ยินเสียงเครื่องบินฝ่ายข้าศึกบินผ่านมาเหนือศีร์ษะ สักครู่ก็เห็นแสงไฟวูบขึ้นทางทิศเหนือ อีกอึดใจเดียวก็วูบขึ้นตรงเหนือศีร์ษะข้าพเจ้า และที่อื่นๆบ้าง
คืนนั้นเป็นคืนแรกที่เครื่องบินฝ่ายข้าศึกใช้พลุไฟในการโจมตีทิ้งระเบิด กรุงเทพฯ ประชาชนซึ่งที่ไม่เคยเห็นพลุไฟเลยต่างก็ขวัญไม่ค่อยจะอยู่กับเนื้อกับตัว ใครๆต่างก็เข้าใจว่า พลุไฟอยู่ตรงศีร์ษะของตัวทั้งนั้น และเกรงว่าข้าศึกคงจะทิ้งลูกระเบิดลงในบริเวณที่เขาทิ้งพลุไฟลงมา เพื่อให้เห็นเป้า การณ์ก็เป็นจริงดังที่คาดไว้ พอพลุไฟเริ่มดับวูบ เราก็ได้ยินเครื่องบินถาลงมาเตี้ยๆ แล้วก็ได้ยินเสียงลูกระเบิดวิ่งฝ่าอากาศลงมาซ่า-ซ่า ชั่วพริบตาเดียวก็มีเสียงระเบิดก้องกัมปนาท
ข้าพเจ้านั่งลงชิดกับขอบกำแพงบนดาษฟ้าแต่กำแพงนั้นเตี้ย พอชะโงกหน้าดูบริเวณใกล้เคียงได้สดวก ข้าพเจ้าเห็นดินโคลนพุ่งขึ้นเป็นลำสูงเหนืออาคารบ้านเรือน และในขณะนั้นเองก็มีหินขนาดใหญ่ๆ เศษไม้บ้าง โคลนบ้าง กระเด็นมาตกที่ดาษฟ้า เคราะห์ดีที่มันลอยข้ามศีร์ษะไป ไม่มีใครเป็นอันตรายเลย ในขณะนั้นเองแสงไฟก็ลุกโชติช่วงขึ้นแถวบริเวณตรอกพระยาสุนทรใกล้สถานีหัว ลำโพง ครู่เดียวก็มีคนวิ่งผ่านหน้าบ้านข้าพเจ้าเป็นจำนวนมากมาย เข้าใจว่าเป็นคนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับแถวที่ถูกระเบิด เครื่องบินข้าศึกยังบินวนเวียนทิ้งระเบิดซ้ำซากอยู่อีกหลายเที่ยว
ต่อมาอีกสัก ๒-๓ นาฑีมีเสียงคนเปิดประตูที่รั้วบ้าน และมีเสียงคนวิ่งเข้ามาประมาณ ๘-๙ คน คนนำหน้าเป็นชายหนุ่มรูปร่างล่ำสัน ตะโกนเรียกข้าพเจ้าว่า “อาจารย์ครับ ! อาจารย์ครับ ! ไฟได้ลุกเข้ามาแล้ว ข้าพเจ้าจำได้ทันทีว่ามันเสียงของอินเสินนักเรียนช่างก่อสร้างศิษย์ของ ข้าพเจ้า จึงลงไปเปิดประตูรับ นึกสงสัยอยู่บ้างเหมือนกันว่า เขามาทำไมกัน ในขณะที่บริเวณบ้านที่ข้าพเจ้าอยู่กำลังตกอยู่ในเขตต์อันตราย เพราะอยู่ใกล้กับบริเวณที่กำลังถูกทิ้งระเบิดอยู่ อินเสินเขาอยู่ไกลออกไปแถววัดมหาพฤฒาราม ซึ่งในขณะนั้นก็นับว่าอยู่ห่างจากจุดทิ้งระเบิดมาก พอเปิดประตูรับอินเสินก็พรวดเข้ามา มีประทักษ์ศิษย์ของข้าพเจ้าอีกคนหนึ่งตามติดเข้ามาด้วย แล้วก็หนุ่มๆชายฉกรรจ์อีก ๖-๗ คน ซึ่งข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าใครบ้าง ต้องขออภัยเขาไว้ในที่นี้ด้วย
ยังไม่ทันจะซักถามว่าเขามาทำไมกัน เขาก็รีบบอกว่า “เร็วๆเถอะครับ มีของสำคัญอะไรบ้าง พวกผมจะช่วยขนไป อย่าอยู่เลยครับที่นี่ไม่ปลอดภัยเสียแล้ว” ข้าพเจ้ายืนนิ่งรู้สึกตื้นตันใจ ในความรัก-และความห่วงใยของศิษย์ที่มีต่อครูบาอาจารย์ ดูเถอะท่านในขณะที่ใครๆเขาพากันวิ่งหนีเพื่อเอาตัวรอด แต่ศิษย์ของข้าพเจ้าผู้มีเลือดชาวก่อสร้างเต็มไปทั้งร่าง ยังอุตสาห์นึกถึงครูวิ่งฝ่าอันตรายเพื่อเหตุอย่างเดียว คือต้องการช่วยครูให้พ้นภัย ดูเหมือนว่าเขาลืมนึกถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่ตัวเขาเองเสียแล้ว ข้าพเจ้ามาทราบเอาในวันรุ่งขึ้นว่า ในตรอกหลังวัดแก้วฟ้า ซึ่งเป็นทางที่เขาวิ่งผ่านมานั้น ข้าศึกได้ทิ้งระเบิดลงมา ๔-๕ ลูก แต่ด้าน นี่ถ้าหากว่ามันระเบิดขึ้นเขาก็คงจะไม่มีโอกาศที่จะวิ่งมาถึงข้าพเจ้าได้ อินเสิน ประทักษ์กับเพื่อนๆของเขา กับข้าพเจ้าก็คงไม่มีวันจะได้เห็นหน้ากันอีก นี่เป็นน้ำใจของศิษย์ชุด ก.ส. ซึ่งไม่มีวันละที่ข้าพเจ้าจะลืมเสียได้
ข้าพเจ้าถามเขาว่า “เธอจะให้ครูไปไหน คิดว่าอยู่ที่นี่ก็คงไม่เป็นอะไรนักไม่ใช่หรือ” แต่อินเสิน, ประทักษ์, กับเพื่อนๆไม่ยอมฟังเสียง หันไปหาคุณแม่ของข้าพเจ้า แล้วบอกว่า “เร็วๆเข้าเถอะครับ อย่าอยู่เลย มีของสำคัญๆอะไรผมขนไปเอง ไปวัดแก้วฟ้ากันเถอะ” ข้าพเจ้าก็จำต้องยอมตาม เพราะนอกจากตัวข้าพเจ้าแล้ว ยังมีคุณแม่กับน้องและเด็กนักเรียนที่อาศัยอยู่อีกคนหนึ่ง ข้าพเจ้าให้เขาขนของจำเป็นบางอย่างล่วงหน้าไปที่ ร.ร.วัดแก้วฟ้า พร้อมกับคุณแม่และน้อง ทางที่ไปนั้นก็เป็นทางเดียวที่เขาวิ่งมา ข้าพเจ้ายังเชื่อว่า ผลแห่งความกตัญญูนั่นเองที่คุ้มครองศิษย์ของข้าพเจ้าทุกคนให้ปลอดภัยไปได้ ทั้งๆที่เขาทำการขนของอยู่ตั้ง ๕-๖ เที่ยว ข้าพเจ้าเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากบ้านไปวัดแก้วฟ้า ที่นั่นได้พบเพื่อนครูอีกหลายคน ซึ่งเป็นห่วง ร.ร. และเพื่อนฝูงที่อยู่เวรกลางคืน ที่จำได้มีครูเอ็ดเวริด เฉลิมศักดิ์ ครูก้าน เป็นต้น
เมื่อเราถึงโรงเรียนวัดแก้วฟ้าแล้ว อีกครู่เดียวบริเวณที่อยู่ใกล้ๆแถวนั้น ถนนนเรศก็ถูกทิ้งระเบิดอย่างหนักอีก คนมารวมอยู่ที่สนามหน้าโรงเรียน ประมาณสัก ๔-๕ พันคน แสงไฟสว่างแลเห็นหน้ากันถนัด พวกศิษย์และเพื่อนครูของเรามารวมกลุ่มกันอยู่ รู้สึกปลื้มใจที่พวกเราไม่ยอมทิ้งกันเลย แม้จะอยู่ในที่คับขัน
เช้าวันรุ่งขึ้นโรงเรียนปิด ไม่ใช่เพราะคำสั่งของกระทรวงหรือของใครทั้งนั้น แต่เป็นเพราะว่านักเรียนช่างก่อสร้างเกือบทั้งหมดได้แห่กันไปที่บ้าน ข้าพเจ้า ตอนเช้าเขามาที่โรงเรียนตามปกติ แต่เมื่อเห็นข้าวของที่ขนไปฝากไว้บนโรงเรียน เกิดไต่ถามกันขึ้น เมื่อรู้เรื่องจึงพากันไปที่บ้าน เขาได้แบ่งหน้าที่กันเองออกเป็นพวกๆ พวกหนึ่งจัดข้าวของเป็นพวกเป็นหมู่ อีกพวกหนึ่งขนของไปลงเรือซึ่งนายเจริญ ปั้นศิริ ศิษย์อีกคนหนึ่งจัดมารับ
เราขนของจากวัดแก้วฟ้า และสพานเหลืองไปลงเรือที่คลองวัดตะเคียน กว่าจะเต็มลำเกือบเย็น คนแจวทนไม่ได้ก็กลับไปก่อน ตกลงนักเรียนช่างก่อสร้างรับอาสาแจวกันเอง ไปส่งข้าพเจ้าในสวนพระประแดง กว่าจะถึงที่หมายก็ตั้ง ๔-๕ ทุ่ม
วันนั้นน้ำลงคลองแห้งเรือเข้าไม่ได้ต้องรออยู่จนกระทั่งตี ๕ ต้องรีบลุกขึ้นถ่อเรือเข้าคลอง เข้าไปอีกประมาณ ๓๐ เส้น กลางคืนเรานอนค้างกันในเรือ น้ำค้างลงเย็นเฉียบไปตามๆกัน ฝีแจวฝีพายที่ข้าพเจ้าจำได้ก็มี กิมเต้ก อินเสิน ประทักษ์ ซึ่งล้วนแต่เป็นศิษย์ ก.ส.ทั้งนั้น
พอไปถึงบ้านนายเจริญ เจ้าของบ้านซึ่งเป็นบิดามารดาของนายเจริญนั้นเอง ก็ออกมาต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี เมื่อรู้ว่าข้าพเจ้าเป็นครูที่ ร.ร.ช่างก่อสร้าง เดิมทีเดียวตั้งใจไว้ว่าจะเอาของไปฝากไว้ แล้วข้าพเจ้าก็จะกลับไปอยู่ที่เก่า ส่วนคุณแม่และน้องนั้นจะให้อพยพไปอยู่หัวเมือง แต่ท่านเจ้าของบ้านใจดีอย่างผิดคาด ได้ขอร้องให้เราพักอาศัยอยู่ที่นั่น และให้การอุปการะช่วยเหลือเราเป็นอย่างดี นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งทำให้ข้าพเจ้าไม่เคยลืมบุญคุณของ ก.ส. จนกว่าชีวิตข้าพเจ้าจะแตกไปเสีย
เราก็ได้ทำการขนของกันอีกหลายเที่ยว ได้อาศัยแรงของช่างก่อสร้างทั้งสิ้น ตั้งแต่ขนของออกจากบ้านไปลงเรือ จนกระทั่งขนของขึ้นบ้าน เจริญ ปั้นศิริ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าบรรดาศิษย์ได้เสี่ยงอันตราย และได้สละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อครูบาอาจารย์ของเขา เขาทำงานกันด้วยความเต็มใจ ด้วยความทรหดอดทนไม่เห็นแก่เหนื่อยยาก เพื่ออย่างเดียว คือช่วยครูของเขาซึ่งได้รับความลำบากที่นับว่าไม่มากมายอะไรนัก ทั้งๆที่ครูคนนั้นเป็นคนดุเมื่อสอนไม่ได้ดังใจ ก็ดุว่าเขาอย่างเจ็บๆแสบๆ รู้สึกว่าเขาไม่ถือสาอะไรเลย เขาถือมั่นอยู่อย่างเดียว สิ่งนั้นคือ “เลือด ก.ส. เลือดสีน้ำเงิน”
ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ขึ้นไว้ เพื่อเป็นอนุสาวรีย์ที่ระลึกแห่งคุณความดีของศิษย์ชาวช่างก่อสร้าง นี่แหละเป็นตัวอย่างเป็นพยานในน้ำใสใจคอ ความรักใคร่สามัคคีของพวกเราชาว ก.ส.ทั้งหลาย
นี่แหละชาว ก.ส. เขาเคยรักใคร่กันอย่างนี้ และต้องรักใคร่กันอย่างนี้ตลอดไปไม่มีวันจืดจาง
สายน้ำเงิน ขอขอบคุณข้อมูลจาก เพจแฟนคลับ ยุทธ บางขวาง
thaispygadget