
บริเวณโรงเรียนของเรามีเนื้อที่ประมาณสิบไร่ มีรั้วรอบขอบชิดไม่ปะปนกับใครๆ ทางด้านซ้ายมีคลองคั่น ถัดคลองออกไปเป็นหมู่บ้านป่างิ้ว ส่วนตัววัดป่างิ้วเองอยู่ลึกเข้าไปในคลองทางด้านซ้ายของโรงเรียนแต่เยื้องไป ข้างหลัง ทางด้านขวาของโรงเรียนมีหมู่บ้านอีกหมู่หนึ่งเรียกบ้านกลาง ชาวบ้านโดยมากมีเชื้อมอญ และที่หมู่บ้านนี้เองพวกเราชอบไปเที่ยวเตร่กันนัก เพราะถ้าจะไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจที่อื่นต้องอาศัยเรือ ซึ่งทางโรงเรียนจ้างประจำไว้เพียงลำเดียว ในสมัยนี้เองพวกเราลงมือหัดเรียนภาษามอญกันเป็นการใหญ่ หัดแล้วไม่หัดเปล่านำไปใช้ได้ด้วย บางคนถึงกับจีบปากจีบคอพูดกับสาวมอญอย่างหน้าเฉยตาเฉยว่า “อั้วชานบายเกลิงๆ” บ้าง “ชานอัวเฮาฉาน?” บ้าง “คุญควะมุโกย?” บ้าง ใครอยากรู้แปลว่ากระไรท่านว่าให้ไปถามสาวมอญเอาเองแล บางคนหาครูสอนไม่ได้ก็อุตส่าห์ไปเรียนเอาที่แม่ครัวสวยๆ ซึ่งทางร.ร.จ้างไว้ ผล?เท่าที่สังเกตดูก็ไม่ใช่เล่น เวลาอพยพกลับ แม่สาวน้อยๆตาแดงๆไปหลายคน ที่ตามมาถึงบางกอกก็ยังมี ถ้าภาษาอังกฤษมีที่ใช้ได้กว้างขวางอย่างนี้ละก็ ป่านนี้พวกเราคงรัวลิ้นกันจนแขกฟังไม่ทันไปซะแล้ว เฮ้อ!
ดักฟังระยะไกล
ที่บ้านกลางนี้มีอะไรดีๆอยู่หลายอย่าง ที่ดีถูกใจพวกเรามากๆก็เห็นจะเป็นแม่พวกสาวๆหน้าตาท่าทางแช่มช้อย ที่แช่มช้อยที่สุดตามเสียงเล่าลือก็ได้แก่ลูกสาวคนที่สองของท่านกำนันผู้มี ใจอารีดีต่อพวกเรามาก สมัยนั้นการรำวงเป็นศิลปที่แพร่หลาย ที่บ้านกลางนี้อีกน่ะแหละมักมีการรำวงเปิดโอกาศให้ทุกคนร่วมรำได้ด้วยอยู่ บ่อยๆ ทางฝ่ายเราเห็นว่านักเรียนไม่มีที่เที่ยวเตร่พักผ่อนหย่อนใจ จึงยอมอนุญาตให้ผู้มีความประสงค์จะไปร่วมสนุกกับเขา ได้มีโอกาศไปสนุกเสียบ้างโดยให้มีครูควบคุมไป แต่ผีรำวงตามติดพวกที่ไปรำมาถึงโรงเรียนด้วย บางทีเขาร้องขึ้นมาพร้อมๆกันตั้งสิบคนว่า
“งามแสงเดือนมาเยือนส่องหล้า งามใบหน้าลูกสาวกำนันๆๆๆ” ร้อนถึงผู้เขียนต้องไประงับขอไม่ให้ร้องแผลงๆอย่างนั้น เพราะจะเสียไมตรีอันดีกับท่านสไควร์แห่งป่างิ้วเสียโดยไม่มีความจำเป็น
โดยเหตุที่ภูมิประเทศบังคับ หาที่พักผ่อนหย่อนใจได้ยาก สพานไม้กับแพหน้าโรงเรียนจึงเป็นที่ตากอากาศอย่างดี เช้าๆเราไปนั่งรอนาย “โกเซ่” เจ้าของร้านกาแฟลอยผู้มีชื่อเสียง เพื่อหาโอยั๊วโอเลี้ยงดื่มแก้คอแห้งบ้าง บุหรี่ตาใบกล้วยบ้าง คุยกันไป ตกปลาเล่นบ้าง ร้อนๆขึ้นมาก็อาบน้ำ
ตอนกลางคืนก็ไปนั่งอาบแสงจันทร์กันอยู่ที่นั่น นักเรียนบางคนเป็นทุกข์ขึ้นมา ก็จัดแจงถ่ายทุกข์กันที่ตรงนั้นเอง ตกว่าที่แพนั้นทำประโยชน์ได้หลายอย่าง เป็นตลาดจ่ายกับข้าว, เป็นที่ตากอากาศ, เป็นร้านกาแฟ, เป็นห้องอาบน้ำ และถ้าจำเป็นก็ใช้เป็นส้วมซึมชั้นที่หนึ่งได้ด้วย
ดักฟังไร้สาย
บางทีกำลังเปลื้องทุกข์อยู่ยังไม่ทันสำเร็จ แมวมองตะโกนบอกว่า “เฮ้ย! อาจารย์มาๆ” ตัวเจ้าทุกข์ก็เลยโดดป๋อมลงไปลอยคอป๋อหลออยู่ในน้ำ ความเกรงใจครูทำให้ลืมรังเกียจทุ่นระเบิดของตนเอง ตอนนี้ถ้ายังทำการไม่สำเร็จก็ต้องทำเป็นว่ายน้ำไปว่ายน้ำมา แล้วก็ค่อยๆปล่อยทุ่นไปพลางๆ แต่พยายามว่ายทวนน้ำเข้าไว้ ถึงกระนั้นเจ้าทุ่นระเบิดเจ้ากรรมก็มักไม่ยอมห่าง ชอบวนเวียนอยู่ใกล้ๆ อันที่จริงก็น่าเห็นใจเพราะเวลาส้วมสกปรกไปบอกตาพวงคนทำความสอาด แกกลับแนะว่า “โฮ้ยไปส้วมทำไม ไปป่าสะแกโน่นดีกว่า, คุ้ณ”
อาหารการกินอยู่ค่อนข้างจะฝืดเคือง เราเก็บจากนักเรียนประจำเพียงคนละสิบห้าบาทต่อเดือน ซึ่งถ้าอาศัยเงินเพียงจำนวนนี้เท่านั้นแล้ว เราก็เห็นจะพากันอดตายหมด ท่านอาจารย์ใหญ่กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายการค้าได้วิ่งอย่างที่เรียกว่า “เท้าพลิก” หาเงินมาเลี้ยงพวกเรา แต่ถึงกระนั้นก็หาที่ซื้อได้ยากอีก ตลาดของเราก็คือเรือเร่ที่ผ่านหน้าโรงเรียนมาเป็นคราวๆ ครูอาจารย์ที่ควบคุมการครัวต้องคอยไปซื้ออยู่ที่แพลูกบวบ อาหารเนื้อที่พอจะหาซื้อได้ก็มีแต่เนื้อวัวกับเนื้อหมูสองอย่างเท่านั้น ถ้าวันไหนเราได้กินกุ้งกินปลาวันนั้นเป็นวันพิเศษ
ส่วนพริกกะปิหอมกระเทียมและผัก ต้องลงเรือจ้างไปจ่ายที่ตลาดสามโคก แจวไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง ผักที่จะซื้อได้เป็นประจำก็มีแต่ฟักบวบแตงกวากับฟักทอง เพราะฉนั้นอาหารกลางวันกับอาหารเย็น พวกนักเรียนจึงเดาได้ถูกเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างเขาว่า ส่วนอาหารเช้าไม่ต้องเดาเพราะรู้กันได้ดีทุกคนว่าต้องเป็นข้าวต้ม กับข้าวเช้าก็มีปลาทูเค็มกับหัวไชโป๊เป็นของยืนโรง นานๆจึงจะได้ไข่ทอดหรือข้าวต้มกุ้งมาสลับฉากสักคราวหนึ่ง เพราะฉนั้นเวลามีเครื่องบินผ่านเข้ามาทิ้งระเบิดทีไร มักได้ยินเสียงพวกเราบ่นกันอุบๆอิบๆว่า “วัดโธ่, ไม่ยักมาทิ้งสามโคกบ้างนิ” ถามว่า “จะให้มันมาทิ้งทำไมเล่า?” เขาตอบว่ายังงี้ “ผมเบื่อหัวไชโป๊กับปลาทูเค็มเหลือเกิน มาทิ้งเสียให้ร้านมันพังๆไปรู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องกินของพันธ์นี้อีก”
ถึงฤดูน้ำ น้ำท่วมมาก บริเวณอำเภอซึ่งอยู่ติดกับตลาดสามโคกน้ำท่วมลึก เราจ่ายตลาดเสร็จแล้วมักจะแวะไปรับจดหมายที่ที่ว่าการอำเภอ พวกเรานุ่งกางเกงขาสั้น ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องถลกขาหนีน้ำ
คราวหนึ่งครูบาอาจารย์ไปด้วยกันหลายคน จ่ายตลาดที่สามโคกเสร็จก็แวะไปที่อำเภอตามเคย เราเดินเรียงหนึ่งขึ้นไปตามถนนซึ่งจมอยู่ในน้ำหน้าที่ว่าการ วันนั้นระดับน้ำสูงมาก ต่างคนต่างถลกขาหนีน้ำสูงขึ้นไปเรื่อยๆ คนหัวแถวหันมาดูคนปลายแถวเพื่อถามอะไรบางอย่าง แต่ถามไม่ออกกลับตีหน้าเหย คนอื่นๆสงสัยหันไปดูบ้าง อนิจจา! คนปลายแถวถลกขากางเกงหนีน้ำสูงเกินต้องการไปเสียแล้ว ขากางเกงก็กว้างเกินไปซะด้วย! เคราะห์ดีที่คนอื่นๆนอกจากพวกเราไม่มีใครเห็น!
ดักฟังโทรศํพท์
มีสิ่งที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่ง คือว่าถ้าคนไปรวมกันอยู่ที่ใดมากๆ มันจะมีหมาตามไปพึ่งพาอยู่มากๆด้วยเหมือนกัน เมื่อเวลาเราไปอยู่ที่โรงเรียนช่างไม้วัดป่างิ้ว หมาแถวๆนั้นก็เฮโลเข้าไปอยู่กับพวกเรานับสิบๆตัวเหมือนกัน ครั้นนักเรียนกลับบ้านเวลาปิดภาค อาหารที่คนกินเหลือเขาทิ้งไม่พอเพียงที่จะทำให้ท้องพวกมันอิ่ม มันก็รู้จักหาวิธีแก้ไขการเศรษฐกิจของมันเหมือนกัน คือคอยแอบดูว่าเมื่อไรคนจะเผลอ ขอเวลาให้มันเพียงชั่วสองสามนาฑีเท่านั้น หม้อข้าวหม้อแกงหายเรียบไปเป็นหม้อๆ ถ้าเจ้าของตามไปพบเข้า แพล็บเดียวเท่านั้นเหลือแต่หม้อเปล่า ทั้งๆที่หม้อทำด้วยดินเผาอยู่ดีเป็นปรกติไม่แตกเสีย นับว่าหมาวัดป่างิ้วมีวิชาดีมาก
คราวหนึ่งข้าพเจ้าลงเรือจ้างไปขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพฯ ท่านอาจารย์เลี้ยงกับมาดาม กรุณาไปส่งถึงที่สถานีรถไฟ พอเรือจอดเทียบสถานีรถไฟ ท่านนึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง หันไปถามมาดามว่า “เออ.เมื่อเวลาเราออกจากหอพัก เราเก็บหม้อข้าวหม้อแกงไว้ในห้องหรือเปล่านะ” มาดามตอบว่าเปล่า เพราะท่านเองเพิ่งมาอยู่ใหม่ๆยังไม่รู้ฤทธิ์หมาป่างิ้ว ท่านอาจารย์หน้าเสียไปหน่อย การณ์ก็เป็นจริงดังคาด ได้ข่าวว่าเมื่อท่านทั้งสองกลับมาที่พักแล้ว ต้องหาอาหารที่อื่นปะทังความหิวไปพลางก่อน เพราะหม้อข้าวหม้อแกงซึ่งตั้งไว้บนโต๊ะอาหารสูงๆ กลับลงไปประดิษฐานอยู่ใต้ถุนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ส่วนอาหารนั้นเรียบวุธ
พูดถึงรถไฟทำให้นึกไปถึงอาจารย์อุดม จิตราทร รูปร่างแกออกจะเจ้าเนื้อพูดจาห้าวหาญเสียงดัง บ้านเดิมอยู่นครสวรรค์ คราวหนึ่งโรงเรียนปิดภาคแกขึ้นไปเยี่ยมบ้าน พานักเรียนคนหนึ่งชื่อนายไชโยขึ้นไปด้วย ขากลับแกให้นายไชโยกลับมาก่อนแล้วให้เอาลูกไก่มาฝากอาจารย์ใหญ่ด้วยหนึ่งชล อมใหญ่ๆ เพราะแกรู้ว่าอาจารย์ใหญ่ชอบเลี้ยงไก่ แต่ด้วยอารามรีบร้อน, เพราะรถไฟออกจากที่สถานีเช้ามืดนายไชโยก็มาขึ้นรถไฟแต่ตัว, ลืมเอาลูกไก่มาด้วย อาจารย์อุดมหิ้งชลอมเก้ๆกังๆตามมาที่สถานี แต่หาตัวกันไม่พบ แกจึงเดินเลาะรถไฟทั้งขบวนไปทีละคันๆ ถึงคันหนึ่งแกก็หยุด, ร้องตะโกนดังๆว่า “ไชโยๆๆๆ” คนโดยสารชโงกหน้าออกมาดูกันหัวสลอน คงจะสงสัยว่าหมอนี่ถ้าสติจะไม่ใคร่ดี ถือชลอมลูกไก่หิ้วเก้ๆกังๆ แล้วยังมาร้องตะโกนไชโยๆเสียอีกด้วย ไม่เห็นมีใครไชโยรับสักคน พอดีแกเดินไปถึงรถคันที่มีทหารไทยนั่งอยู่เต็ม พอแกร้อง “ไชโยๆๆๆ” พวกทหารก็เลยไชโยรับดังสนั่นหวั่นไหว อาจารย์อุดมรีบเดินหนี กว่าจะตามพบตัวนายไชโยที่แท้จริงก็เล่นเอาเหงื่อไหล เฮอ! สิ้นเคราะห์ไปที!
ยังมีเรื่องที่น่าจะเล่าให้ฟังอีกมากมาย เช่นงานวันเลี้ยงต้อนรับอาจารย์ใหญ่ในโอกาศที่ทางกระทรวงศึกษาธิการมีคำสั่ง แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกัปตันของพวกเรา หลังจากที่ได้รักษาการในหน้าที่ครบหกเดือนโดยเรียบร้อยทุกประการแล้ว, กับงานวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ซึ่งสนุกสนานครึกครื้นกันเต็มที่ พวกพ้องเพื่อนฝูงทางกรุงเทพฯ ทั้งที่เป็นชาว ก.ส. และพวกพ้องของเราที่อยู่ในกระทรวงศึกษาธิการลงไปร่วมด้วยมากมาย ฯลฯ แต่ครั้นจะเขียนไปก็จะเปลืองหน้ากระดาษของเขา ผู้อ่านก็คงจะง่วง เพราะฉะนั้น:-
เอวํ ก็มีด้วยประการฉนี้.
“เล่าจ๋อง” ผู้บันทึก
ขอขอบคุณข้อมูลจาก เพจแฟนคลับ ยุทธ บางขวาง (อรรถยุทธ พวงสุวรรณ)
thaispygadget