
นี่คือสิ่งที่ทุกเรือนจำมอบให้กับผู้ต้องขัง เพียงแต่นักโทษคนไหนจะรับมันไว้หรือไม่เท่านั้น
จากไม่รู้สู่บัณฑิต (อีกบทหนึ่งจากหนังสือ "เรื่องจริงในเรือนจำ")
การศึกษาเป็นนโยบายหลักของชาติ ทุกคนจำเป็นต้องเข้ารับการศึกษาตั้งแต่ขั้นพื้นฐานภาคบังคับไปจนถึงความรู้ ชั้นสูงสุดตามแต่กำลังของแต่ละครอบครัวจะส่งเสียได้ สำหรับบางคนไม่มีโอกาสแม้แต่จะเรียนแค่ชั้นประถม ๑ ซึ่งมีจากหลายสาเหตุด้วยกัน เช่น อยู่ในที่ทุรกันดาร ครอบครัวยากจน ต้องเร่ร่อนตามพ่อแม่ ขาดผู้ดูแล ฯลฯ ทำให้แม้แต่จะอ่านหนังสือซักเพียงประโยคหนึ่งก็ยังไม่ได้
เมื่อไม่มีความรู้ใดๆ เลย โอกาสที่จะพบความสำเร็จในชีวิตย่อมมีน้อย ถึงแม้จะเป็นคนที่มีความขยันขันแข็งเพียงใดก็ตาม แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถรู้เท่าทันคนรอบข้างได้ บางคนจึงต้องไปเป็นกรรมกรหาเช้ากินค่ำไปวันๆ บางคนต้องเที่ยวเร่ร่อนขอทานไม่มีหลักแหล่งที่แน่นอน หรือบางคนต้องไปหากินในทางที่ผิดกฎหมาย ซึ่งเมื่อถูกจับได้ก็ต้องไปอยู่ในเรือนจำเพื่อชดใช้ความผิด
ภายในเรือนจำเมื่อนักโทษถูกส่งตัวมาคุมขัง จะมีการทำประวัติฯ เพื่อให้ทราบความเป็นมาต่างๆ ของนักโทษแต่ละคน รวมทั้งการศึกษาที่นักโทษแต่ละคนได้รับมาก่อนติดคุก ซึ่งมีบ่อยครั้งที่พบนักโทษไม่รู้หนังสือเลย หรือรู้แต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
สำหรับผู้ไม่รู้หนังสือ หรือรู้แต่เพียงเล็กน้อย ในเรือนจำจะมีการสอนหนังสือให้ตั้งแต่ ก.ไก่ถึง ฮ.นกฮูก เรียกว่าเริ่มเรียนตั้งแต่อนุบาล จนกระทั่งสามารถอ่านออกเขียนได้หรือประถม ๔ โดยมีนักโทษซึ่งมีความรู้หรืออดีตครูอาจารย์ที่พลาดพลั้งมาติดคุก เป็นครูอาสาช่วยสอนให้แก่นักโทษด้วยกัน ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่เรือนจำที่ได้รับการแต่งตั้งจากการศึกษานอก โรงเรียน (กศน.)
หลังจากจบประถม ๔ แล้ว นักโทษที่มีความสมัครใจจะเรียนต่อก็สามารถจะขอเรียนจนจบชั้นประถม ๖ แล้วเรียนต่อไปจนจบมัธยมต้นและมัธยมปลายได้ โดยมีใบประกาศนียบัตรรับรองวุฒิการศึกษามอบให้หลังจากเรียนจบในแต่ละระดับ
นักโทษบางคนที่เรียนจบชั้นประถม ๔ หรือชั้นประถม ๖ แล้ว สมัครใจที่จะเรียนต่อด้านสายอาชีพ เช่น ช่างไม้ ช่างปูน ช่างเหล็ก ช่างตัดผม ฯลฯ ก็สามารถที่จะขอเรียนในงานที่ตนสนใจได้ เพื่อนำไปประกอบอาชีพหลังจากพ้นโทษออกไปจากเรือนจำ ซึ่งวิชาชีพที่เปิดสอนจะอยู่ในความควบคุมดูแลของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน เมื่อเรียนจบแล้วจะมีใบประกาศรับรองการเรียนวิชาชีพนั้นๆ มอบให้ด้วย
นอกจากนั้นยังมีการเปิดทดสอบฝีมือในด้านวิชาชีพต่างๆ เพื่อยกระดับชั้นฝีมือของนักโทษแต่ละคน ซึ่งมีนักโทษสามารถสอบได้ระดับช่างฝีมือชั้นที่ ๓ ,๒ และ ๑ มาแล้วจำนวนมาก สามารถนำวิชาชีพไปทำมาหากินหลังพ้นโทษจนประสบความสำเร็จในชีวิตมาแล้วหลายคน
นักโทษบางคนที่จบชั้นมัธยมศึกษาแล้ว จะสมัครศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ซึ่งทุกเรือนจำได้เปิดโอกาสให้นักโทษศึกษาเล่าเรียนได้ ส่วนใหญ่นักโทษจะเลือกเรียนสาขานิติศาสตร์ หรือรัฐศาสตร์เป็นอันดับต้นๆ บางคนที่จบปริญญาตรีมาจากข้างนอกคุกแล้ว ก็จะมาเลือกเรียนต่อในอีกสาขาภายในเรือนจำ กว่าจะพ้นโทษออกไปได้บางคนมีปริญญาถึง ๔-๕ ใบก็มี
สำหรับนักโทษที่เลือกเรียนระดับปริญญาตรีในคุก ทางเรือนจำจะเปิดโอกาสให้ได้ศึกษาเล่าเรียนหาความรู้กันอย่างเต็มที่ ให้โอกาสจัดกิจกรรมต่างๆ จัดมุม มสธ.ให้นักโทษที่เป็นนักศึกษาได้พบปะสัมนากัน และบางเรือนจำได้เชิญอาจารย์เข้าไปสอนเสริมแก่นักศึกษาอีกด้วย
ผลการศึกษาเล่าเรียนของนักโทษที่ข้าพเจ้าเคยพบเห็นมา มีนักโทษของเรือนจำบางคนได้เกียรตินิยม บางคนสามารถนำความรู้มาช่วยเหลือเพื่อนฝูงที่ต้องโทษอยู่ในเรือนจำได้ เช่น เขียนคำอุทธรณ์และฎีกาให้กับเพื่อนนักโทษด้วยกัน แนะนำข้อกฎหมายต่างๆ ในการต่อสู้คดี ซึ่งในบางครั้งประสบความสำเร็จถึงขั้นยกฟ้องปล่อยตัวไปเลยก็มี หรืออย่างน้อยๆ ก็ได้รับการลดหย่อนโทษให้เบาบางลงจากศาล
บางคนพ้นโทษออกไปแล้วนำความรู้ไปเปิดสำนักงานทนายความ บริษัทส่วนตัว ห้างร้านธุรกิจต่างๆ จนประสบความสำเร็จมาแล้วมากมายหลายคน บางคนได้รับการนิรโทษกรรมล้างใบแดงจนสะอาดผ่องใส แล้วไปเรียนต่อปริญญาโทจนจบที่นอกคุก จากนั้นก็ไปสอบเป็นผู้พิพากษาสมทบในศาลต่างๆ หรือบางคนไปสอบเป็นผู้ช่วยอัยการได้สำเร็จมาแล้วหลายคนเช่นกัน
นับว่าสังคมยังให้โอกาสกับผู้ที่เคยผิดพลาดในชีวิต ให้ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีเป็นที่ยอมรับของส่วนรวม โอกาสที่จะหวลคืนกลับไปกระทำผิดอีกจึงมีน้อยมาก ประชาชนทั่วไปจึงมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
มีนักโทษคนหนึ่งชื่อน้อย ติดคุกในคดีฆ่าคนตายโดยเจตนา ถูกศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิต น้อยเป็นคนทางภาคอีสาน นับตั้งแต่เกิดมาต้องติดตามพ่อแม่ซึ่งทำงานก่อสร้างไปยังที่ต่างๆ อย่างไม่เป็นหลักแหล่ง จึงไม่มีโอกาสได้เข้าเรียนหนังสืออย่างเด็กทั่วไป พอเริ่มโตเป็นวัยรุ่นก็เดินตามรอยพ่อแม่ด้วยการเริ่มงานเป็นจับกังก่อสร้าง และพัฒนาฝีมือตัวเองเรื่อยมาจนเป็นช่างไม้ฝีมือดีคนหนึ่ง เครื่องดักฟังโทรศัพท์มือถือ
น้อยมีนิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่ง หลังจากเลิกงานแล้วชอบจับกลุ่มดื่มเหล้าขาวกับเพื่อนคนงานก่อสร้างด้วยกัน วันไหนเงินน้อยก็กินกันพอหอมปากหอมคอ วันไหนเงินค่าแรงออกก็เมากันหนักหน่อย เมื่อเมาได้ที่แล้วก็จะส่งเสียงเอะอะโวยวายถกเถียงกันในเรื่องต่างๆ นานา สรรหาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาคุยกันสารพัด
วันหนึ่งตรงกับวันที่ค่าแรงออก น้อยกับพรรคพวกร่วมดื่มฉลองกันตามปกติ หลังจากเมากันจนได้ที่แล้ว น้อยกับเพื่อนคนงานก็งัดเรื่องต่างๆ ขึ้นมาพูดคุยกันเหมือนเดิม แต่แล้วก็เกิดการถกเถียงกันอย่างรุนแรงในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตนเองทั้ง สองฝ่าย จนกระทั่งทั้งคู่เกิดบันดาลโทษะลุกขึ้นชกต่อยกันอุตลุต
เมื่อเพื่อนคนงานเข้าห้ามและแยกทั้งสองฝ่ายออกจากกันแล้ว ด้วยความเมาประกอบกับการขาดสติยั้งคิด น้อยได้กลับไปเอาขวานที่บ้านพักคนงาน แล้วย้อนกลับมาจามหัวเพื่อนคนงานคู่กรณีจนขาดใจตายคาที่ แล้วหลบหนีไป
หลังจากนั้นไม่นานน้อยถูกตำรวจติดตามจับกุมตัวได้ น้อยถูกตั้งข้อหาฉกรรจ์ว่าฆ่าคนตายอย่างโหดร้ายทารุณโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ ก่อน ซึ่งน้อยได้พยายามต่อสู้คดีว่าที่ทำไปเพราะเกิดบันดาลโทษะและอารมณ์ชั่ววูบ ประกอบกับความมึนเมาจนขาดสติ ไม่ได้มีเจตนาที่จะฆ่าเพื่อนคนงานหรือเคยวางแผนที่จะฆ่ามาก่อนเลย
ผลการพิจารณาของศาลปรากฎว่าน้อยถูกตัดสินตามข้อหาที่ตำรวจตั้งมา ซึ่งมีโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต แต่ศาลปราณีในฐานะที่น้อยให้การเป็นประโยชน์ต่อศาล และให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน จึงได้รับการลดหย่อนโทษให้เหลือตลอดชีวิต ซึ่งถ้าน้อยถูกตัดสินในข้อหาฆ่าคนตายเพราะบันดาลโทษะจนเกิดอารมณ์ชั่ววูบ น้อยก็จะถูกลงโทษเพียงแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น
หลังจากที่น้อยถูกส่งตัวเข้ามาอยู่ที่เรือนจำกลางบางขวาง ทางเรือนจำได้ตรวจสอบประวัติจนทราบว่าน้อยไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อนเลย และไม่รู้หนังสือแม้แต่น้อย จึงให้น้อยเริ่มเรียน ก.ขอ ก.กา ร่วมกับเพื่อนนักโทษอีกหลายคนจนจบประถม ๔ จากนั้นน้อยได้ขอเรียนต่อจนจบประถม ๖ เรื่อยไปจนจบชั้นมัธยมศึกษา
น้อยให้เหตุผลแก่ทุกคนว่า “ผมต้องติดคุกตลอดชีวิตเพราะไม่รู้หนังสือ ต้องเป็นกรรมกรเพราะไม่รู้วิชา ต้องลำบากลำบนเพราะไม่มีความรู้ใดๆ เมื่อทางเรือนจำเปิดโอกาสเรียนให้แก่ผมแล้ว ผมจะต้องเรียนให้ถึงที่สุด เป้าหมายสูงสุดของผมคือ ปริญญาตรีนิติศาสตร์บัณฑิต ซึ่งผมจะต้องทำให้ได้ เมื่อผมมีโอกาสได้พ้นโทษออกไปจากคุกเมื่อใด ผมจะได้ใช้วิชาความรู้ที่ผมได้รับจากที่นี่ไปช่วยเหลือคนไร้การศึกษาอื่นๆ ต่อไป คนด้อยการศึกษาทั้งหลายจะได้ไม่ต้องมาเป็นเหมือนอย่างผม”
จากนั้นน้อยได้สมัครเรียนต่อกับมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ในคณะนิติศาสตร์ โดยน้อยได้เก็บหอมรอมริบจากเงินปันผลประโยชน์ที่เรือนจำแบ่งให้ในผลงาน วิชาชีพที่น้อยทำไว้ และเงินที่ญาติพี่น้องส่งเสียให้อีกเพียงน้อยนิด มารวมเป็นทุนเพื่อการศึกษาให้แก่ตนเอง
เมื่อว่างจากงานประจำภายในแดน น้อยจะหยิบตำราขึ้นมาอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ และขีดเส้นใต้ในข้อความสำคัญต่างๆ เพื่อให้จดจำได้ง่าย เมื่อมีโอกาสจะหยิบยืมเครื่องเล่นเทปของเพื่อนฝูงมาฟังการบรรยายของวิชา ต่างๆ ที่น้อยเรียนอยู่ และถ้ามีอาจารย์พิเศษจาก มสธ.เข้ามาสอนเสริมความรู้ให้กับนักศึกษาในเรือนจำ น้อยจะไม่เคยพลาดในการเข้าร่วมเรียนด้วยอย่างเด็ดขาด กิจกรรมต่างๆ ทั้งของทางเรือนจำและของนักศึกษา น้อยจะมีส่วนร่วมด้วยอยู่เสมอเช่นกัน ดักฟัง ระยะ ไกล
จากความมุ่งมั่นและความพยายามในการศึกษาหาความรู้ของน้อย ทำให้น้อยเป็นที่รักใคร่ชอบพอของเพื่อนนักโทษทั้งหลาย รวมทั้งเป็นที่ไว้วางใจของเจ้าหน้าที่ทั้งเรือนจำ จนกระทั่งน้อยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงาน พร้อมกับที่น้อยสามารถสอบเลื่อนชั้นเป็นนักโทษชั้นเยี่ยมได้ และสุดท้ายน้อยก็สามารถเรียนจนจบนิติศาสตร์บัณฑิตได้สมตามความตั้งใจ แม้จะต้องรับใบปริญญาบัตรในคุกก็ตาม
เนื่องจากน้อยเป็นนักโทษชั้นเยี่ยม อีกทั้งเป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานช่วยทำประโยชน์ให้แก่ทางเรือนจำ เมื่อมีการอภัยโทษครั้งใหญ่ๆ ในวาระสำคัญต่างๆ น้อยจึงได้รับการลดหย่อนโทษให้ค่อนข้างมากในทุกครั้ง ซึ่งเป็นไปตามกฎและระเบียบในการประกาศอภัยโทษของแต่ละครั้ง โดยน้อยจะอยู่ในข่ายที่ได้รับการลดหย่อนโทษให้เสมอ และแล้วน้อยก็สามารถพ้นโทษออกจากเรือนจำไปได้ หลังจากที่น้อยติดคุกอยู่นานทั้งสิ้น ๑๒ ปีเศษ
หลังจากนั้นข้าพเจ้าไม่เคยพบกับน้อยเป็นเวลาร่วม ๒ ปีกว่าๆ วันหนึ่งซึ่งตรงกับวันพบญาติของทางเรือนจำ ในขณะที่ข้าพเจ้าดูแลรักษาความปลอดภัยอยู่ภายในหอประชุมที่ใช้จัดงาน มีชายคนหนึ่งแต่งกายภูมิฐานเข้ามายกมือไหว้ข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้ารับไหว้และเพ่งพินิจชายผู้นั้นอย่างละเอียด ปรากฎว่าชายผู้นั้นคือไอ้น้อยอดีตลูกน้องเก่าของข้าพเจ้านั่นเอง แต่เมื่อดูจากการแต่งตัวในเวลานี้แล้ว สามารถที่จะเรียกว่าท่านน้อยได้เลย เพราะทั้งสร้อย แหวน นาฬิกา ที่น้อยสวมใส่อยู่นั้น รวมราคาแล้วคงหลายเงินทีเดียว
ข้าพเจ้าจึงแกล้งถามไปว่า “โอ้โห! น้อย เดี๋ยวนี้ไปรวยอะไรมา ทำไมถึงได้ดูอู้ฟู่อย่างนี้ ปล้นธนาคารหรือว่าค้ายาบ้าจึงรวยได้ขนาดนี้”
เครื่องติดตามตัว
น้อยตอบว่า “โธ่! หัวหน้าอย่าหาคุกให้ผมอีกเลยครับ ผมทำมาหากินอย่างสุจริตครับ ผมออกไปเป็นทนายฝึกหัดอยู่ระยะหนึ่ง พอมีทุนและประสบการณ์ผมจึงแยกออกไปร่วมกับเพื่อนเปิดสำนักงานทนายความครับ นี่ครับนามบัตรของผม ลูกความของผมมีเยอะครับ ผมจึงพอที่จะเลี้ยงตัวเองได้บ้าง แต่ผมยังเป็นไอ้น้อยของหัวหน้าเสมอครับ วันนี้ผมพอมีเวลาว่างจึงแวะมาเยี่ยมเพื่อนฝูงเก่าๆ บ้าง ผมอยากให้เพื่อนนักโทษทุกคนได้เรียนเหมือนผม เมื่อพ้นโทษออกไปจะได้ทำมาหากินยกระดับตนเองได้ ตอนนี้ผมกำลังเรียนโทอยู่ด้วยครับ ผมยินดีรับใช้หัวหน้านะครับ”
ในอนาคตคงจะไม่มีใครได้เห็นไอ้น้อยกรรมกรก่อสร้างอีกแล้ว แต่อาจจะพบด๊อกเตอร์น้อย ทนายความปริญญาเอกคนดังก็ได้ใครจะรู้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก เพจแฟนคลับ ยุทธ บางขวาง (อรรถยุทธ พวงสุวรรณ)
thaispygadget