
จากหนังสือเรื่อง "แหกคุกมหันตโทษบางขวาง"
ตอน "ปลอมหมายปล่อย"
วันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ.๒๕๒๒ ศาลอาญากรุงเทพ ได้มีหนังสือถึงเรือนจำกลางบางขวาง เบิกตัวนักโทษคดีร่วมกันมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย(เฮโรอีน) ออกฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ตามที่นักโทษทั้งสามได้ยื่นอุทธรณ์ไว้จำนวน ๓ คนดังนี้ ๑. น.ช.ศิริ ศิริกุล ศาลชั้นต้นตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ๒. น.ช.ประสาน เรียวพานิชกุล ศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก ๕๐ ปี ๓. น.ช.ยันโว วิลเลี่ยมเช็ง ศาลชั้นต้นตัดสินจำคุกตลอดชีวิต
เรือนจำกลางบางขวางได้ทำการเบิกตัวนักโทษเพื่อออกศาลตามคำสั่ง แต่เมื่อตรวจสอบแล้วปรากฏว่าสามารถเบิกตัวนักโทษออกศาลได้เพียง ๒ คนเท่านั้นคือ น.ช.ประสาน และ น.ช.ยันโว ส่วน น.ช.ศิริได้รับการปล่อยตัวไปแล้วตามหมายปล่อยของศาลที่อนุญาตให้ได้รับการ ประกันตัว
เมื่อนำนักโทษที่เหลือทั้ง ๒ คนเดินทางไปถึงศาลแล้ว เจ้าหน้าที่ศาลได้แจ้งว่าไม่เคยมีหมายปล่อยตัว น.ช.ศิริให้ออกจากเรือนจำแต่อย่างใด และไม่เคยมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัว น.ช.ศิริอีกด้วย เนื่องจากเป็นนักโทษในคดีร้ายแรง มีกำหนดโทษสูง อาจหลบหนีการประกันได้ แต่ทางเรือนจำยืนยันว่ามีหมายปล่อยส่งไปที่เรือนจำจริง และได้เก็บหลักฐานไว้ตามระเบียบด้วย
จากการตรวจสอบประวัติของ น.ช.ศิริทราบว่า เมื่อวันที่ ๕ ต.ค.๒๕๑๙ ตำรวจบุกเข้าจับกุมตัวนายศิริ นายประสาน นายยันโว ได้ที่โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ โดยพบเฮโรอีนจำนวน ๒๔ ถุง น้ำหนัก ๘๓๐๐.๕๐ กรัมอยู่ที่คนทั้งสาม จึงแจ้งข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เบื้องต้นนายประสานให้การรับสารภาพ ส่วนนายศิริและนายยันโวให้การปฏิเสธ
หลังจากที่ตำรวจได้สอบสวนเสร็จแล้ว ได้ขออำนาจศาลฝากขังทั้งสามไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยตำรวจได้ยื่นคัดค้านการประกันตัวคนทั้งสาม ซึ่งศาลก็เห็นชอบด้วย ไม่อนุญาตให้ประกันตัวจำเลยทั้งหมดแต่อย่างใด
วันที่ ๑๘ เม.ย.๒๕๒๐ ศาลชั้นต้นได้พิจารณาตัดสินให้จำคุก น.ช.ศิริ และ น.ช.ยันโวไว้ตลอดชีวิต ส่วน น.ช.ประสานให้การรับสารภาพจึงลดโทษจากตลอดชีวิตเหลือจำคุก ๕๐ ปี จากนั้นได้ส่งตัวทั้ง ๓ คนเข้าคุมขังที่เรือนจำกลางบางขวาง
วันที่ ๓๐ มิ.ย.๒๕๒๐ มีหมายให้ปล่อยตัว น.ช.ศิริเนื่องจากได้รับอนุญาตให้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์จากศาล โดยมีหนังสือปะหน้าของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แนบมาด้วยอีกฉบับหนึ่ง ทางเรือนจำกลางบางขวางจึงได้ทำการปล่อยตัว น.ช.ศิริไป จนกระทั่งมีหมายเบิกตัว น.ช.ศิริออกฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ แต่ทางเรือนจำไม่สามารถนำตัว น.ช.ศิริส่งศาลตามคำสั่งได้ เพราะได้ปล่อยตัว น.ช.ศิริไปก่อนแล้ว
วันที่ ๒๒ พ.ค.๒๕๒๒ ศาลอาญามีหนังสือเบิกตัว น.ช.ศิริไปฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อีกครั้ง พร้อมกับแจ้งทางเรือนจำว่า ศาลมิได้อนุญาตให้ประกันตัว น.ช.ศิริแต่อย่างใด หากมีเหตุขัดข้องเรื่องที่ได้ปล่อยตัวตามหมายของศาลไปแล้ว ก็ให้ส่งหลักฐานสำเนาการปล่อยตัวไปให้ศาลทราบด้วย
วันที่ ๒๙ พ.ค.๒๕๒๒ เรือนจำกลางบางขวางได้ยืนยันการปล่อยตัว น.ช.ศิริอย่างถูกต้อง พร้อมกับส่งหลักฐานสำเนาหมายปล่อยไปให้ศาลทราบ
วันที่ ๖ มิ.ย.๒๕๒๒ ได้รับการยืนยันจากศาลว่าไม่เคยอนุญาตให้ประกันตัว น.ช.ศิริและออกหมายปล่อยจากศาล นายทวี ชูทรัพย์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายวิจิตร ทองคำ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้สั่งการให้นายถวิล ณ ตะกั่วทุ่ง ผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวาง นำหมายปล่อยฉบับดังกล่าวมายืนยันต่อทางกรมราชทัณฑ์ ซึ่งการปล่อยตัวได้เกิดขึ้นขณะที่นายหาญ พันธุ์สมบุญ ผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวางคนก่อนยังดำรงตำแหน่งอยู่ เบื้องต้นเชื่อว่าทางเรือนจำปฏิบัติถูกต้องตามระเบียบแบบแผนทุกประการในการ ปล่อยตัวผู้ต้องหา
ต่อมาได้นำหมายปล่อยฉบับดังกล่าวมาตรวจสอบอย่างละเอียด พบว่าหมายปล่อยดังกล่าวเป็นของปลอม โดยกระดาษที่ใช้พิมพ์เป็นกระดาษของศาล แต่ตัวหนังสือที่พิมพ์นั้นตรวจสอบกับเครื่องพิมพ์ทุกเครื่องของศาลแล้ว ไม่มีเครื่องใดตรงกับในหมายปล่อยฉบับดังกล่าว และตราประทับซึ่งเป็นตราปลอมก็เล็กกว่าของจริง ตลอดจนลายเซ็นก็ไม่เหมือนของผู้พิพากษาคนใด
นอกจากนั้นตามขั้นตอนของการปล่อยตัวจำเลยชั่วคราวโดยศาลอนุญาตให้มีการ ประกันตัวนั้น จะต้องส่งหมายศาลไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แล้วทางเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จึงจะทำหนังสือแจ้งพร้อมกับแนบหมายศาลไปยังเรือนจำที่จำเลยถูกควบคุมตัวอยู่ ปรากฏว่าทางเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ไม่มีหลักฐานการรับหมายศาลในเรื่องนี้เลย แต่ที่เรือนจำกลางบางขวางกลับมีหนังสือนำของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แจ้งให้ปล่อยตัว ซึ่งเป็นหนังสือปลอมอีกฉบับหนึ่งลงนามผู้ออกหนังสือว่านายตา แต่จากการตรวจสอบปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจลงนามในหนังสือของเรือนจำ พิเศษกรุงเทพฯ ชื่อนายดา ซึ่งเป็นคนละคนกัน
จากนั้นได้มีการแจ้งความหาตัวคนผิดในการปลอมหมายศาลเพื่อปล่อยตัว น.ช.ศิริ โดยมีการแต่งตั้งให้นายจำรูญ ปิยัมปุตระ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย พล.ต.ท.จำรัส มังคลารัตน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย พล.ต.ท.กิตติ เสรีบุตร ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ร่วมกับตำรวจกองปราบปราม ทำการสอบสวนหาตัวผู้เกี่ยวข้องในการปลอมหมายปล่อยครั้งนี้ ซึ่งทางตำรวจเชื่อว่ามีเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์และหน่วยราชการอื่นหลาย ฝ่ายพัวพันในเรื่องนี้ และเตรียมออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องในต่อไป
วันที่ ๑๕ มิ.ย.๒๕๒๒ เวลา ๐๒.๐๕ น. ตำรวจเข้าทำการจับกุมตัวนายวชิระ อรัญเสน เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และนายบุญศรี พลแสง เจ้าหน้าที่เรือนจำกลางบางขวาง ภายในบ้านพัก และทำการตรวจค้นหาหลักฐานที่เกี่ยวข้อง โดยตั้งข้อหาเป็นเจ้าหน้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและช่วยเหลือผู้ กระทำผิด ซึ่งทั้งสองต่างให้การปฏิเสธ
วันที่ ๒๑ มิ.ย.๒๕๒๒ เวลา ๑๓.๓๐ น. พล.ต.อ.มนต์ชัย พันธุ์คงชื่น อธิบดีกรมตำรวจ พ.ต.อ.เจริญ เวลาดี รองผู้บังคับการกองปราบปราม พ.ต.ท.รุ่งโรจน์ ยมกุล รอง ผกก. ๒ ป. พ.ต.ต.ธิติ ตาละภัฎ สว.ผ. ๒ กก. ๒ ป. ได้เข้าพบนายประเทือง กีรติบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อขออนุญาตจับกุมนายหาญ พันธุ์สมบุญ ผู้อำนวยการกองทัณฑวิทยา อดีตผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวาง ฐานมีส่วนพัวพันการปล่อยตัว น.ช.ศิริ ซึ่งนายหาญได้ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด
ทางด้าน น.ช.ศิริ เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่าได้หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว คาดกันว่าหนีไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ปีนัง จึงได้ประสานไปยังตำรวจสากลให้ช่วยติดตามจับกุมตัว โดยอาศัยกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน นอกจากนี้ยังเชื่อว่า น.ช.ศิริได้ใช้เงินจำนวนมากติดสินบนเจ้าหน้าที่หลายฝ่าย เพื่อความสะดวกในการหลบหนีออกจากเรือนจำในครั้งนี้
วันที่ ๒๗ มิ.ย.๒๕๒๒ ตำรวจได้ขออำนาจศาลฝากขังนายหาญไว้ที่เรือนจำจังหวัดนนทบุรี โดยได้คัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเกรงว่าจะใช้อิทธิพลข่มขู่พยานทำให้เสียรูปคดี ซึ่งสถานที่คุมขังนายหาญคือเรือนจำที่นายหาญเคยเป็นผู้บัญชาการมาก่อนนั่น เอง
วันที่ ๑๘ ก.ย.๒๕๒๒ พนักงานอัยการจังหวัดนนทบุรี ได้นำสำนวนคดีนายหาญไปยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดนนทบุรี ซึ่งเจ้าหน้าที่เรือนจำกลางบางขวางจำนวน ๗ นายได้นำตัวนายหาญนั่งรถตู้ของทางเรือนจำเดินทางมาที่ศาล เมื่อมาถึงแล้วได้นำตัวขึ้นไปนั่งรอที่หน้าห้องผู้พิพากษา เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำศาลได้มาขอตัวไปควบคุมที่ห้องขังของศาล แต่เจ้าหน้าที่เรือนจำไม่ยอมจึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้น หลังจากศาลนัดสืบพยานโจทก์แล้ว ทางเจ้าหน้าที่เรือนจำได้รีบนำตัวนายหาญกลับสู่เรือนจำในทันที ท่ามกลางความไม่พอใจของตำรวจศาลที่ไม่ได้ควบคุมตัวนายหาญไว้ในห้องขัง
วันที่ ๒๕ ก.ย.๒๕๒๒ ตำรวจมาเลเซียได้สืบทราบว่า น.ช.ศิริ หรือมีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่านายปรีชา นักค้ายาเสพติดที่ทางการไทยและหลายประเทศกำลังต้องการตัว ได้หนีมาหลบซ่อนตัวอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย โดยมีบ้านพักอยู่ ๒ แห่ง ที่ปีนังแห่งหนึ่ง และที่บัตเตอร์เวิร์ธอีกแห่งหนึ่ง จึงได้แบ่งกำลังตำรวจเป็น ๒ สายเข้าทำการตรวจค้นพร้อมกัน สายหนึ่งเข้าค้นบ้านที่ปีนัง พบหญิงสาวอยู่ในบ้านคนเดียวโดยมีเฮโรอีนหนัก ๑๕๐ กรัมซุกซ่อนอยู่ภายในบ้าน อีกสายหนึ่งเข้าค้นบ้านที่บัตเตอร์เวิร์ธ พบ น.ช.ศิริอยู่ในบ้านพร้อมกับเมียอีกคนหนึ่ง จึงทำการควบคุมตัวไว้ พร้อมกับแจ้งให้ทางการไทยทราบในทันที
วันที่ ๒๘ ก.ย.๒๕๒๒ เวลา ๐๙.๐๐ น. ที่สนามบินดอนเมือง เครื่องบินของการบินไทยเที่ยวบินที่ ๔๐๘ ได้เดินทางจากประเทศมาเลเซียมาถึงประเทศไทย โดยมีพล.ต.ต.จักร ลักษณะบุญส่ง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พ.ต.ต.วิรัตน์ ชุติมิตร สารวัตรประจำศูนย์ปราบปรามยาเสพติดให้โทษ เป็นผู้ควบคุมตัว น.ช.ศิริเดินทางมา กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมอาวุธครบมือไปรอรับราชาเฮโรอีนถึงบันไดเครื่อง บิน จากนั้นได้นำตัวขึ้นรถเดินทางไปที่กรมตำรวจ พร้อมกับมีคำสั่งว่า ตลอดเวลาที่เคลื่อนขบวนนักโทษสำคัญไปกรมตำรวจ หากมีรถยนต์คันใดวิ่งแซงขบวนในลักษณะที่มีพิรุธให้ยิงได้ทันที เนื่องจากเกรงว่าจะมีคนวางแผนฆ่า น.ช.ศิริเพื่อปิดปาก แต่เหตุการณ์ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย
จากการสอบสวนเบื้องต้น น.ช.ศิริให้การว่า ได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่เรือนจำกลางบางขวางที่ควบคุมตัวอยู่ โดยจ่ายเงินไปครั้งแรก ๒ แสนบาท และสัญญาว่าจะจ่ายให้อีก ๓ แสนบาทหลังจากออกจากคุกได้แล้ว แต่เมื่อออกมาได้แล้วก็ไม่ได้จ่ายส่วนที่เหลือ เมื่อหมายปลอมมาถึงเรือนจำกลางบางขวาง ทางเรือนจำได้ปล่อยตัวเมื่อเวลาประมาณ ๒๐.๐๐ น. จากนั้นได้หลบหนีไปพักที่บ้านแถวลาดพร้าวประมาณ ๒-๓ วัน แล้วจึงหลบหนีลงภาคใต้โดยขึ้นรถทัวร์ไปลงที่หาดใหญ่ แล้วจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่มาเลเซียทำพลาสปอร์ตปลอมให้ในราคา ๒ หมื่นบาท แล้วจึงเข้าไปกบดานอยู่ในประเทศมาเลเซียโดยใช้ชื่อปลอมอีกชื่อว่า “ลี่เม้ง แซ่โง้ว”
หลังจากสอบสวนเสร็จสิ้นได้ควบคุมตัว น.ช.ศิริไว้ในห้องขังกองปราบปราม โดยมีตำรวจพร้อมอาวุธคอยดูแลที่หน้าห้องขังตลอดเวลา และมีตำรวจอีกนายเข้าไปอยู่ดูแลในห้องขังอย่างใกล้ชิด รวมทั้งตรวจตราของกินอย่างละเอียดเพื่อป้องกันการวางยาพิษเพื่อฆ่าปิดปาก
วันที่ ๑ ต.ค.๒๕๒๒ ตำรวจได้สอบปากคำ น.ช.ศิริเพิ่มเติมอีกครั้ง ในครั้งนี้ น.ช.ศิริได้กลับคำให้การว่า ไม่มีเจ้าหน้าที่เรือนจำคนใดช่วยเหลือในการปลอมหมายปล่อยออกจากคุก การติดต่อให้หลบหนีรวมทั้งเรื่องการปลอมหมายปล่อยนั้น มีพรรคพวกจากภายนอกวิ่งเต้นทำให้ทั้งสิ้น
วันที่ ๒ ต.ค.๒๕๒๒ ตำรวจได้นำตัว น.ช.ศิริส่งตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งนายประสาน ประเสริฐประศาสตร์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้วางมาตราการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ทั้งด้านความปลอดภัยของ น.ช.ศิริและการป้องกันการหลบหนีซ้ำสอง
วันที่ ๒๗ ธ.ค.๒๕๒๒ ศาลจังหวัดนนทบุรีได้พิจารณาคดี น.ช.ศิริในข้อหาหลบหนีไปในระหว่างที่ถูกคุมขัง จ้างวานใช้ให้ผู้อื่นปลอมดวงตราแผ่นดินและเอกสารทางราชการ ใช้รอยตราแผ่นดินปลอมและเอกสารปลอม สนับสนุนเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ควบคุมดูแล ผู้ที่ต้องคุมขังให้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ผลการพิจารณาได้ตัดสินให้จำคุก น.ช.ศิริอีก ๓๙ ปี แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์จึงลดโทษให้เหลือ ๒๑ ปี น.ช.ศิริจึงมีกำหนดโทษจำคุกตลอดชีวิตกับอีก ๒๑ ปี
ส่วนนายหาญ พันธุ์สมบุญ และเจ้าหน้าที่เรือนจำอีกสองนาย ภายหลังศาลได้พิจารณาจากพยานหลักฐานแล้ว ได้พิพากษายกฟ้องคนทั้งหมดให้พ้นผิดจากข้อกล่าวหา นับเป็นคดีประวัติศาสตร์อีกคดีหนึ่งของเรือนจำกลางบางขวาง
thaispygadget