จากหนังสือเรื่อง "แหกคุกมหันตโทษบางขวาง"
ตอน
"แหกหักขังเดี่ยว"
วันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๑ เวลา ๐๖.๐๐ น. ขณะที่เจ้าหน้าที่เวรกลางคืนประจำแดน ๗ (แดน ๑๐ ในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นแดนขังเดี่ยว เดินตรวจตรารอบบริเวณชั้นล่างของตึกขังที่มีความสูง ๔ ชั้น ปรากฏว่าพบเชือกห้อยลงมาจากชั้นที่ ๔ ของตึกขัง โดยที่ปลายเชือกห้อยเหนือขึ้นไปจากชั้นที่ ๑ ซึ่งเป็นที่โล่ง จึงรีบขึ้นไปตรวจสอบพร้อมกับรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบโดยด่วน เมื่อไปถึงพบว่าห้องขังเลขที่ ๔๐๗ ซึ่งเป็นห้องขังเดี่ยวบนชั้นที่ ๔ ภายในห้องขังไม่มีนักโทษอยู่ภายใน และยังพบอีกว่าที่ลูกกรงหน้าห้องขังถูกเลื่อยตัดเหล็กตัดขาดออกไปหนึ่งซี่ โดยเชือกได้ห้อยลงไปจากหน้าห้องดังกล่าว
จากการตรวจสอบชื่อนักโทษที่หายตัวไปทราบว่าชื่อ น.ช.ระทม, เปี๊ยก, สมศักดิ์, สันติ, เสนาะ, ประเสริฐ, สมชาย, สมนึก, ถวัลย์ นามสกุล หอมดี, สุดปัญญา, การัสณีย์, สุขสวัสดิ์, รัตนพานิช อายุ ๓๐ ปี นักโทษคดีปล้นฆ่าและอื่นๆ รวม ๑๑ คดี ถูกตัดสินไปแล้ว ๕ คดี ที่หนักที่สุดคือถูกตัดสินลงโทษประหารชีวิต ต่อมาได้รับอภัยโทษ ๒ ครั้ง เหลือโทษจำคุกรวมทั้งสิ้น ๗๑ ปี และยังมีคดีที่ยังไม่ตัดสินเด็ดขาดอีก ๖ คดี
เจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบว่าเชือกที่ห้อยลงไปจากชั้นที่๔ นั้น ทำจากผ้าขาวม้า ผ้าปูที่นอน และเศษด้ายดิบควั่นเป็นเชือกเกลียวผูกติดกันยาวประมาณ ๙ เมตร ด้านบนใช้หนังสติ๊ก ยางหนังสติ๊ก และยางในรถเข็น ผูกติดกับราวเหล็กระเบียงชั้นที่ ๔ โดยที่ปลายสายอยู่ห่างจากพื้นชั้นล่างประมาณ ๓ เมตร เมื่อมองจากภายในตึกขังชั้นล่างจะไม่สามรถมองเห็นปลายเชือกได้ ทำให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่เวรยามไม่เห็นปลายเชือกที่ห้อยลงมาในช่วงกลางคืน อีกทั้งยังมีฝนตกลงมาตลอดคืนอีกด้วย
จากนั้นได้ช่วยกันตรวจสอบและค้นหาตัว น.ช.ระทมรอบแดนขังเดี่ยว เมื่อไปถึงโคนป้อมยามกำแพงเรือนจำป้อมที่ ๑๙ พบว่ามีเชือกผูกติดกับตะขอเหล็กห้อยลงมาจากกำแพงเรือนจำ โดยที่ตะขอเหล็กยึดติดกับเสาเหล็กขนาดเล็กที่ใช้ขึงลวดหนามไฟฟ้าแรงสูงรอบ เรือนจำ ส่วนแนวกำแพงชั้นบนมีผ้านวมวางพาดอยู่บนลวดหีบเพลง (ลวดที่ใช้ในสนามรบ) เพื่อป้องกันคมของลวดหนามซึ่งมีความคมมาก โดยที่ผ้านวมมีเลือดติดอยู่เพียงเล็กน้อย ที่สันกำแพงซึ่งใช้อิฐมอญก่อไว้อย่างหลวมๆ เพื่อว่าเมื่อมีน้ำหนักกดลงไปอิฐมอญจะหักลง ทำให้นักโทษที่คิดหลบหนีตกจากกำแพงลงไป แต่ปรากฏว่าอิฐมอญถูกเจาะกระแทกออกเป็นช่องขนาดคนตัวเล็กลอดได้ ซึ่งเหนืออิฐมอญขึ้นไปเพียงเล็กน้อยคือลวดไฟฟ้าแรงสูง โดยที่สันกำแพงมีรอยเท้าติดอยู่หลายรอย จึงคาดกันว่า น.ช.ระทมหลบหนีออกไปได้สำเร็จแล้ว โดยผู้ที่ทำหน้าที่ยามป้อมที่ ๑๙ ไม่รู้ว่ามีนักโทษปีนหนีออกที่ข้างป้อมแต่อย่างใด คาดว่ายามป้อมน่าจะหลับยาม
เมื่อออกไปตรวจสอบภายนอกกำแพงเรือนจำซึ่งอยู่ติดกับบ้านพักของ พ.ต.อ.ดำรง อินทปันตี ผู้กำกับการตำรวจภูธรนนทบุรี พบว่าที่กอต้นเข็มริมกำแพงมีรอยถูกของหนักหล่นกระแทกจนหักลู่ และที่กำแพงเรือนจำด้านนอกทีรอยเลือดติดอยู่เล็กน้อย
นายวิวิทย์ จตุปาริสุทธิ์ ผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวาง หลังจากได้รับแจ้งเหตุนักโทษแหกคุก ได้รีบเดินทางเข้าไปตรวจสอบภายในขังเดี่ยวพร้อมด้วย ร.ต.อ.สมพงษ์ มุสิกรัตน์ ร้อยเวร สภ.อ.เมืองนนทบุรี และได้จัดกำลังร่วมเจ้าหน้าที่เรือนจำและตำรวจออกตรวจหาตัว น.ช.ระทมภายในเขตจังหวัดนนทบุรี พร้อมทั้งส่งกำลังส่วนหนึ่งไปดักซุ่มตามสถานีขนส่งและสถานีรถไฟทุกสาย
สอบถามนักโทษที่ถูกขังอยู่บนชั้นเดียวกับ น.ช.ระทม ทุกคนต่างให้การว่าไม่รู้ไม่เห็นว่า น.ช.ระทมหนีออกไปเวลาใด เพียงแต่ได้ยินเสียงคล้ายคนง้างเหล็กเมื่อเวลาประมาณ ๐๓.๐๐ น. แต่ไม่ได้มีใครสนใจอะไร มารู้ว่ามีการแหกคุกก็ต่อเมื่อมีเจ้าหน้าที่ขึ้นมาตรวจสอบที่ห้องขังดัง กล่าว ไม่มีใครยอมรับว่ารู้เรื่องมาก่อนหรือให้ความร่วมมือกับ น.ช.ระทมแต่อย่างใด
จากการตรวจสอบอย่างละเอียด คาดว่า น.ช.ระทมคงจะแอบเก็บเศษผ้าและด้ายดิบนำมาต่อเป็นเชือกซุกซ่อนไว้ใต้ที่นอน และเก็บเหล็กหูหิ้วถังน้ำมาดัดแปลงเป็นตะขอ พร้อมกับใช้ผ้าพันไว้เพื่อป้องกันไฟฟ้าแรงสูง นอกจากนี้ยังได้รวบรวมหนังสติ๊ก ยางหนังสติ๊ก และยางในรถเข็นมาเตรียมไว้สำหรับให้เกิดการหดตัวของเชือกหลังจากที่ปีนลงจาก ตึกขังได้แล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่มองเห็นปลายเชือกที่ห้อยลงมา ซึ่งจะทำให้เกิดการรู้ตัวว่ามีการแหกหักเรือนจำ
จากนั้นได้ใช้ใบเลื่อยเหล็กที่แอบนำเข้าไปซุกซ่อนไว้ในห้อง ทำการเลื่อยตัดซี่กรงเหล็กขนาด ๔ หุนวันละนิด และใช้ผ้าพันปิดไว้ในเวลากลางวันจนกระทั่งเกือบขาดทั้งด้านล่างและด้านบน ต่อจากนั้นได้รอหาโอกาสที่จะหลบหนี
เมื่อได้โอกาสดีเนื่องจากมีฝนตกลงมาตลอดคืนตั้งแต่หัวค่ำ น.ช.ระทมใช้ใบเลื่อยตัดซี่กรงส่วนที่เหลือจนขาด แล้วใช้ผ้าขาวม้าพันที่ห่วงตรวนขาด้านหนึ่ง ที่ซี่กรงเหล็กอีกด้านหนึ่ง และใช้ผ้าอีกผืนพันเข้าที่ห่วงตรวนขาข้างเดียวกันโดยใช้มือจับปลายผ้าอีก ด้านไว้ แล้วใช้กำลังมือดึงผ้าเพื่อง้างตรวนที่ขาออกจนสำเร็จทั้งสองข้าง
จากนั้นได้ฉีกผ้าปูที่นอนพันเป็นเกลียวเพื่อความเหนียวผูกต่อเข้ากับผ้าขวา ม้า โดยกะความยาวของปลายเชือกไม่ให้เกินชายคาชั้นที่ ๑ ของตึกขังเดี่ยว เสร็จแล้วได้ต่อปลายเชือกเข้ากับยางที่ได้เตรียมไว้ แล้วมุดตัวรอดซี่กรงที่ตัดขาดออกมา โดยนำผ้านวมสำหรับปูนอนและเชือกที่แอบทำไว้ก่อนหน้าซึ่งปลายด้านหนึ่งผูกติด กับตะขอเหล็กออกมาด้วย และน่าจะมีอาวุธเช่นเหล็กแหลมติดตัวออกมาด้วยเพื่อใช้ต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ หากถูกตรวจพบเห็นในขณะที่กำลังหลบหนี
เมื่อออกมาพ้นจากห้องขังแล้ว ได้ใช้ปลายเชือกด้านที่มียางผูกเข้าที่ราวระเบียงของตึกขังแล้วปล่อยปลาย เชือกให้ห้อยลงสู่ชั้นล่าง ต่อจากนั้นได้ปีนข้ามราวระเบียง พร้อมกับโหนเชือกโรยตัวลงมาจากชั้นบน ซึ่งยางที่ผูกอยู่ด้านบนได้ยืดตัวเมื่อมีน้ำหนักถ่วง ผ่านชั้น ๓ และ ๒ จนกระทั่งถึงพื้นสนามหญ้าด้านล่างสุด โดยแบกผ้านวมและเชือกอีกเส้นลงมาด้วย เมื่อปล่อยมือจากเชือกทิ้งตัวลงพื้นแล้ว ยางที่อยู่ด้านบนได้เกิดการหดตัวดีดกลับเนื่องจากน้ำหนักถ่วงได้หายไป โดยดึงปลายเชือกด้านล่างให้ลอยกลับขึ้นไปจนพ้นชายคาด้านล่างด้วย
ขณะที่ น.ช.ระทมกำลังปีนหนีลงมา คาดว่าจะต้องมีนักโทษที่ถูกขังตามชั้นต่างๆ บางคนเห็นการหลบหนีครั้งนี้อย่างแน่นอน แต่ที่ไม่โวยวายหรือร้องตะโกนบอกให้เจ้าหน้าที่รู้ เนื่องจากโจรย่อมช่วยเหลือโจร แม้ตัวเองจะไม่ได้ร่วมแหกหักออกไปด้วยก็ตาม แต่ก็คงร่วมเป็นกำลังใจให้การแหกหักครั้งนี้สำเร็จ (ขณะนั้นข้าพเจ้าเพิ่งเข้าทำงานได้เพียงเดือนเศษ หลังจากที่ น.ช.ระทมหนีไปได้แล้ว ได้ยินนักโทษบางคนอวยพรขอให้ น.ช.ระทมหนีไปได้อย่างตลอดรอดฝั่ง)
เมื่อ น.ช.ระทมลงสู่พื้นเรียบร้อยแล้ว คงแอบซุ่มดูลาดเลาอยู่ชั่วครู่ หากบังเอิญมีเจ้าหน้าที่คนใดเดินตรวจผ่านมาในเวลานั้น เชื่อว่าจะต้องเกิดการสูญเสียอย่างแน่นอน ซึ่งนักฆ่าอย่างเสือระทมคงไม่ปล่อยโอกาสให้ใครมาขวางการแหกหักครั้งนี้แม้ ตัวเองจะต้องตายก็ตาม
จากนั้นได้อาศัยความมืดแอบลัดเลาะไปตามเรือนเพาะชำกล้าไม้ มุ่งหน้าเข้าสู่ริมกำแพงโคนป้อมที่ ๑๙ เนื่องจากเป็นจุดที่มืดสนิทเพราะไฟแสงสว่างสันกำแพงบริเวณดังกล่าวเสียมา หลายวันแล้ว อีกทั้งคาดว่ายามป้อมดังกล่าวน่าจะหลับยามเพราะมีฝนตกพรำตลอดเวลา
เมื่อถึงแนวกำแพงชั้นในซึ่งเป็นลวดหนาม น.ช.ระทมได้ถ่างลวดหนามออกแล้วลอดตัวออกไปอย่างง่ายๆ แล้วข้ามคูน้ำขนาดเล็กก็เข้าถึงแนวกำแพงเรือนจำ จากนั้นได้เหวี่ยงตะขอที่มีปลายเชือกด้านหนึ่งผูกอยู่ขึ้นใส่ลวดไฟฟ้าแรงสูง บนสันกำแพง จนกระทั่งตะขอได้เกี่ยวเข้ากับเสาเหล็กยึดลวดหนามบนสันกำแพง
เมื่อทดลองถ่วงน้ำหนักดีแล้วว่าเชือกจะไม่ขาดหรือหลุดลงมา จึงได้แบกผ้านวมปีนขึ้นสู่กำแพงเรือนจำ พอใกล้จะถึงสันกำแพงได้พบเข้ากับลวดหีบเพลงอันคมกริบ น.ช.ระทมได้ใช้ผ้านวมพาดไปที่ลวดหีบเพลงเพื่อป้องกันการบาดแล้วปีนข้ามไปบน ผ้านวม แต่ก็ยังไม่วายโดนคมลวดหนามบาดเข้าจนได้ สังเกตได้จากรอยเลือดที่ติดอยู่บนกำแพง
เมื่อขึ้นถึงสันกำแพงแล้ว น.ช.ระทมได้ใช้กำลังพังอิฐมอญออกเป็นช่อง จนสามารถลอดผ่านลวดไฟฟ้าแรงสูงออกไปได้ แล้วโหนกำแพงทิ้งตัวลงสู่พื้นโดยมีกอต้นเข็มช่วยลดแรงกระแทกให้ในตัว เสร็จแล้วได้ออกทางข้างบ้านผู้กำกับการตำรวจนนทบุรีเพื่อหลบหนีต่อไป ซึ่งยังไม่ทราบว่ามีพรรคพวกมาคอยรับตัวหรือไม่ แต่เชื่อแน่ว่า น.ช.ระทมหลบหนีออกห่างจากเรือนจำไปได้แล้ว
ประวัติของ น.ช.ระทมนั้น เป็นโจรปล้นฆ่าชื่อดังก่อคดีมาแล้วอย่างโชกโชน อายุ ๓๐ ปี สูง ๑๖๐ เซนติเมตร มีรอยสักรูปยักษ์ที่หน้าอกและหลัง บ้านเดิมอยู่ตำบลนาห้วย อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จบการศึกษาชั้นป.๗ ที่โรงเรียนวัดนาห้วย จากนั้นได้ออกหางานทำแล้วไปก่อคดีปล้น จึงหลบหนีเข้าสู่กรุงเทพฯโดยไปเช่าบ้านอยู่ที่ซอยร่วมศิริมิตร ถนนพหลโยธิน เขตดุสิต กรุงเทพฯ
จากนั้นได้ตั้งแก๊งปล้นฆ่าหลายคดี เป็นที่ต้องการตัวของตำรวจในหลายท้องที่เช่น ก่อคดีชิงทรัพย์ท้องที่ สน.มักกะสัน ถูกจับแต่แหกห้องขังออกไปได้ ก่อคดีปล้นทรัพย์ท้องที่ สน.คลองตัน ถูกจับอาวุธปืนที่ สภ.อ.จันทบุรี ฆ่าคนตายท้องที่ สน.บางยี่ขัน ถูกจับซ่องโจรท้องที่ สน.พหลโยธิน ฆ่าเจ้าของโรงเลื่อยท้องที่ สน.สำราญราษฎร์ ปล้นฆ่าเจ้าทรัพย์ท้องที่ สน.บางเขน แหกห้องขังศาลจังหวัดร้อยเอ็ด และคดีอื่นๆอีกหลายคดี แต่เจ้าหน้าที่มีหลักฐานสามารถสอบสวนดำเนินคดีได้เพียง ๑๑ คดีเท่านั้น
วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๑ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายวิวิทย์ จตุปาริสุทธิ์ ผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวาง พ.ต.อ.ดำรง อินทปันตี ผู้กำกับการตำรวจภูธรนนทบุรี พ.ต.ท.สมชัย เจริญทรัพย์ สารวัตรใหญ่ สภ.อ.เมืองนนทบุรี พ.ต.ต.ยงยุทธ ขานดอก สวป. สภ.อ.เมืองนนทบุรี พ.ต.ต.ดำรงศักดิ์ เต้พันธ์ ส.ว.ส สภ.อ.เมืองนนทบุรี พร้อมด้วยชุดเครื่องติดตามตัวของเรือนจำกลางบางขวาง ได้ร่วมประชุมวางแผนการติดตาม น.ช.ระทม นายวิวิทย์ได้ตั้งค่าหัวเป็นเงิน ๑ หมื่นบาท และพ.ต.อ.ดำรงได้ตั้งค่าหัวเพิ่มอีก ๑ หมื่นบาท รวมเป็น ๒ หมื่นบาท ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย โดยให้เจ้าหน้าที่ทุกนายใช้ความระมัดระวังในการตรวจค้นจับกุมเป็นพิเศษ ซึ่งคาดว่า น.ช.ระทมจะต้องต่อสู้อย่างแน่นอน
จากนั้นได้แบ่งชุดติดตามไปที่บ้านของน้องสาว น.ช.ระทมที่ซอยร่วมศิริมิตร ถนนพหลโยธิน บ้านเดิมของ น.ช.ระทมที่ตำบลนาห้วย อำเภอปราณบุรี บ้านของลุง น.ช.ระทมที่อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่ไม่พบวี่แววทั้ง ๓ แห่ง นอกจากนี้ได้มีการตั้งสมญานามให้ น.ช.ระทมว่า “ตี๋ใหญ่๒” เนื่องจากเป็นโจรที่มีประวัติการแหกคุกมาแล้วหลายครั้ง
ต่อมาทีมพิฆาตของเรือนจำกลางบางขวาง ได้ติดตามไปที่บ้านเพื่อนสนิทของ น.ช.ระทมที่อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เนื่องจากมีสายรายงานมาว่า น.ช.ระทมได้หลบหนีไปซ่อนตัวอยู่ แต่จากการปิดล้อมตรวจค้นของเจ้าหน้าที่เป็นเวลาหลายชั่วโมงไม่พบตัวเสือร้าย แต่อย่างใด คาดว่าคงจะฝ่าวงล้อมของเจ้าหน้าที่ออกไปได้แล้ว
เจ้าหน้าที่อีกสายหนึ่งได้รับรายงานว่า มีชายต้องสงสัยผู้หนึ่งลักษณะคล้าย น.ช.ระทม หลบซ่อนตัวอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งในตรอกสามัคคี ถนนสุคันธาราม เขตดุสิต จึงรีบยกกำลังไปปิดล้อมเพื่อตรวจสอบ ปรากฏว่าชายต้องสงสัยคนดังกล่าวไม่ใช่ น.ช.ระทม แต่มีรูปร่างลักษณะคล้ายกันเป็นอย่างมาก จึงปล่อยตัวไป
การติดตามล่าตัว น.ช.ระทมกลับมาลงโทษนั้น เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายได้พยายามออกหาข่าวและติดตามค้นหาตัวในหลายๆ สถานที่ที่มีข่าวว่า น.ช.ระทมหนีไปหลบซ่อนตัว แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด จึงได้มีการออกหมายจับและแจกจ่ายรูปถ่ายไปทั่วประเทศ
ตลอดเวลาที่ น.ช.ระทมสามารถหลบหนีการติดตามจับกุมตัวของเจ้าหน้าที่ไปได้นั้น มีคดีปล้นหลายคดีที่คาดว่า น.ช.ระทมมีส่วนร่วมด้วย ซึ่งเจ้าทุกข์ได้ยืนยันว่าผู้ร่วมปล้นคนหนึ่งมีส่วนคล้ายกับรูปถ่ายของ น.ช.ระทมมาก
วันที่ ๔ กันยายน พ.ศ.๒๕๓๙ เวลา หลังจากที่ น.ช.ระทมสามารถแหกคุกบางขวางออกไปได้เป็นเวลา ๘ ปีเศษ ชุดสืบสวนของกองปราบปรามนำโดย พ.ต.อ.ชัชวาลย์ วชิรปานณีกูล ผกก.๒ ป. พ.ต.อ.วรนิต ทองมี ผกก.๔ ป. พ.ต.ท.วีระศักดิ์ มีนะวนิชย์ รอง ผกก.๒ ป. พ.ต.ท.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผกก.๒ ป. ได้สืบทราบว่า น.ช.ระทม หอมดี เสือร้ายที่แหกหักเรือนจำกลางบางขวาง ได้หนีมาหลบซ่อนตัวอยู่ที่บ้านญาติหลังหนึ่งในเขตอำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี จึงได้วางแผนเข้าจับกุมตัว
เวลา ๑๔.๐๐ น. ตำรวจกองปราบปรามได้บุกเข้าจับกุมตัว น.ช.ระทมได้ที่ปากทางเข้าหมู่บ้านพฤกษา ๑ ตำบลลำผักกูด อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี โดยที่ น.ช.ระทมไม่ทันได้ต่อสู้ขัดขืนการจับกุม จากนั้นได้ควบคุมตัวมาทำการสอบสวนที่กองปราบปรามทันที
น.ช.ระทมให้การรับสารภาพว่า ได้ใช้ใบมีดโกนทำเป็นรอยหยักตัดซี่ลูกกรงจนขาด จากนั้นได้ใช้ผ้าขาวม้าและผ้าปูที่นอนผูกต่อกับราวระเบียงโรยตัวหนีออกมาจาก เรือนจำได้สำเร็จ แล้วขโมยเรือพายของชาวบ้านพายเรือไปขึ้นที่สะพานพุทธ ต่อจากนั้นได้หลบไปอยู่กับเพื่อนระยะหนึ่งก่อนจะหลบไปทำนากุ้งที่จังหวัด จันทบุรี
หลังจากนั้นได้ก่อคดีพยายามฆ่าขึ้นอีกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๒ จึงย้ายที่หลบหนีไปเรื่อยๆ แม้กระทั่งการปลอมตัวเป็นพระก็เคยมาแล้ว เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๖ ได้ก่อคดีพยายามฆ่าขึ้นอีกท้องที่ สน.ท่าเรือ หลังจากนั้นได้เปลี่ยนที่หลบหนีไปจังหวัดต่างๆ เช่น สมุทรปราการ สมุทรสาคร สกลนครและชลบุรี ครั้งสุดท้ายได้มาช่วยญาติก่อสร้างบ้านที่อำเภอธัญบุรีจนกระทั่งถูกจับกุม
เมื่อสอบปากคำเสร็จแล้ว ได้ควบคุมตัวไว้ที่ห้องขังของกองปราบปราม เพื่อขยายผลในคดีปล้นบางคดีที่คาดว่า น.ช.ระทมมีส่วนเกี่ยวข้อง โดยมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการหลบหนีอีก และได้ทำการติดต่อถึงเรือนจำกลางบางขวางให้ทราบถึงผลการติดตามจับกุมตัวใน ครั้งนี้
วันที่ ๖ กันยายน พ.ศ.๒๕๓๙ เจ้าหน้าที่เรือนจำกลางบางขวางพร้อมอาวุธครบมือ ได้เดินทางไปขอรับตัว น.ช.ระทมที่กองปราบปราม จากนั้นได้ควบคุมตัวกลับมาคุมขังที่ตึกแดง (ขังมืด) แดน ๒ เรือนจำกลางบางขวาง เพื่อเป็นการลงโทษตามระเบียบของเรือนจำ และได้ส่งตัวฟ้องร้องดำเนินคดีในข้อหาแหกหักเรือนจำ โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้อายัดตัวไว้ในอีกหลายข้อหา ต้องชดใช้กรรมที่ตนเองก่อไว้ต่อไป