กรรมใดก่อน กรรมใดหลัง ย่อมมากมายเกินกว่าจะประมาณได้ และกรรมดีกรรมชั่วทั้งหลายเหล่านั้นย่อมให้ผลตรงตามเหตุของมัน เสมอ แม้ว่าผลของกรรมอาจไม่เกิดขึ้นพร้อมกัน หรือเรียงลำดับกัน ตามเหตุที่ได้กระทำมาแต่กฎแห่งกรรมย่อมเกิดขึ้นแน่ เนื่องจากเหตุได้ ถูกกระทำไปแล้ว ดักฟังจิ๋ว
เมื่อมีเหตุย่อมมีผลและหากผู้ใดสร้างกรรมอันหมายถึงการกระทำ ผู้นั้นก็ย่อมต้องได้รับผลแห่งกรรมหรือผลแห่งการกระทำของตนอย่าง เที่ยงแท้แน่นอนโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงหลุดพ้นไปได้
ดังเช่นเรื่องราวของหญิงชายคู่หนึ่งที่ได้ร่วมกันสร้างกรรมหนัก จนกระทั่งได้พบกับอำนาจแห่งกรรมที่พวกเขาได้ร่วมกันกระทำไว้อย่าง ชัดเจน จนแม้ในปัจจุบันพวกเขาทั้งสองต่างก็ยังคงต้องชดใช้กรรมของ ตนอยู่
ผู้เฃียนฃออนุญาตนำ เหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นกับบุคคลใกล้ตัวมานำ เสนอ เพื่อเป็นอุทาหรณ์ชี้ชัดให้เห็นถึงอำนาจแห่งกรรมซึ่งส่งผลอย่างรุนแรง หลังจากผู้กระทำทั้งสองได้ร่วมกันกระทำมาในอดีต จนกระทั่งเมื่อถึง วันหนึ่งเขาจึงต่างตระหนักได้ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นและดำเนินอยู่ในขณะนี้ คือผลกรรมที่พวกเขาได้ร่วมกันก่อกระทำไว้
นี่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับญาติของ “สิน” เพื่อนสนิทของผู้เขียน คนหนึ่งซึ่งนับเป็นตัวอย่างที่ดียิ่งสำหรับคนที่กำลังจะสร้างกรรมโดยการ ผิดศีลข้อสาม ประพฤติชั่วมั่วกามราคะเพียงแค่เห็นแก่อารมณ์ปรารถนา เฉพาะหน้าของตนโดยไม่สนต่อความผิดชอบชั่วดีที่พึงสังวร
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยเมื่อครั้งสินยังเรียนหนังสืออยู่และยังใช้ชีวิตอยู่ในจังหวัดบ้านเกิดของเขาในจังหวัดพิจิตรชึ่งผู้คนใน ละแวกบ้านประกอบอาชีพทำนาทำไร่เป็นกระดูกสันหลังของชาติที่จำ ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างหลังสู้ฟัาหน้าสู้ดินกันเป็นส่วนใหญ่
ทุกๆ วันตอนเช้าตรู่ประมาณตี 4 ถึงตี 5 ทุกครอบครัวจะต้อง ตื่นขึ้นและเตรียมตัวออกไปทำนากันตามปกติ และสินเองถ้าหากวันไหน เป็นวันหยุดเรียน เขาก็จะต้องมีหน้าที่ต้องออกไปช่วยพ่อแม่ทำนาเช่น เดียวกัน
นาที่ครอบครัวสินไปทำนั้นความจริงเป็นนาของยายซึ่งแบ่งให้ลูกๆ ทำกัน เพราะฉะนั้นที่นาผืนติดๆ กันญาติของสินก็จะเป็นผู้มาลงมือ ทำกันเป็นส่วนใหญ่โดยหนึ่งในจำนวนนั้นมีครอบครัวของ “น้าดวง” น้องชายแท้ๆ ของแม่สินทำอยู่ด้วย ภรรยาของน้าดวงชื่อ “น้าแต” ซึ่ง มีศักดเป็นน้าสะใภ้ของสิน
น้าแตอายุประมาณ 30 ปลายๆ น้าดวงกับน้าแตมีลูกสาว 3 คน และขณะนั้นลูกสาวแต่ละคนของน้าแตก็กำลังอยู่ในวัยสาวรุ่น รูปร่าง หน้าตาดีเช่นเดียวกับผู้เป็นแม่ คนโตอายุย่างเช้า า7 ปี ส่วนอีก 2 คน ก็ลดหลั่นกันมาคนละปีสองปีโดยประมาณ
คํ่าวันหนึ่ง ขณะสินไปนอนเฝัาอยู่ที่เถียงนาของครอบครัว ระหว่าง นั้นเองเขาได้พบเห็นพฤติกรรมบางอย่างเช้าโดยบังเอิญ และเขายอมรับ ว่าสิ่งที่เห็นมาในวันนั้นมันทำให้ตัวเขาเองรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย
สินเล่าให้ฟังว่าระหว่างที่เขากำลังนอนคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้นก็ได้ ยินเสียงคนคุยกันเบาๆ พอมองเห็นจากแสงเดือนรางๆ ว่าเป็น “น้าชู” พ่อม่ายวัย 40 เศษ ซึ่งเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันนั่นเองกำลังคุยกับ ติดตามรถยนต์
น้าแตอยู่ตรงข้างกองฟางไม่ห่างจากเถียงนาไปเท่าใดนัก
ความจริงแล้วน้าดวงสามีของน้าแตกับน้าชูคนนี้ก็มีความสนิทสนม กันดี น้าชูแกเป็นม,ายหลังจากเมียแกตายมาได้ประมาณ 3 ปี จากนั้น แกก็ใช้ชีวิตอยู่กันตามลำพัง 2 คนกับลูกชายวัยประมาณ 20 ปีโดยไม่ มีเมียใหม่
ตอนแรกที่สินได้ยินเสียงพูดคุยกันนั้น สินเองก็ไม่ได้คิดอะไรกำลัง จะนอนต่อ แต่กลับเห็นน้าชูกับน้าแตล้มตัวลงนอนข้างกองฟางด้วยกัน ท่ามกลางแสงจันทร์ แล้วก็ทำอะไรบางอย่างที่สินไม่คิดว่าทั้งสองจะกล้า ทำโดยไม่รู้ว่าสินนอนอยู่ในเถียงนาและได้เห็นการกระทำของคนทั้งสอง ตั้งแต่ต้นจนจบ
สินเพิ่งรู้ว่าคนทั้งสองแอบลักลอบสมสู่เล่นชู้กันในคํ่าวันนั้นนั่นเอง แต่ก็ไม่กล้าจะปริปากบอกใครเพราะคิดว่าคงไม่มีใครเชื่อคำพูดของเขา เนื่องจากขณะนั้นตัวเขายังเป็นเด็กอยู่ อีกทั้งยังกลัวว่าน้าดวงซึ่งเป็นน้า ชายแท้ๆ ของเขาจะได้รับความเสื่อมเสียอับอาย
นับแต่นั้นมาสินก็ฟ้าจับตามองพฤติกรรมของคนทั้งสองอยู่เงียบๆ ซึ่งก็พบว่าทั้งน้าแตและน้าชูมักจะหาโอกาสลักลอบออกมาพบกันเสมอ
จนกระทั่งวันหนึ่งความก็แตก เมื่อน้าดวงสามีน้าแตจับได้ว่าน้าแต แอบไปมีความสัมพันธ์กับน้าชู แต่น้าดวงแกรักลูกไม่อยากให้ลูกรับรู้พฤติกรรมฉาวโฉ่ของแม่ แกจึงหาทางออกด้วยการขอแยกทางกับน้าแต ด้วยเหตุผลที่ว่าแกต้อง การจะการบวช เพื่อไม่ให้ลูกๆ ต้องคิดมากและเสียใจในการตัดสินใจแยก ทางกันของพ่อแม่
ดักฟังโทรศัพท์
หลังจากสวมเขาให้สามีจนสามีต้องหนีไปบวชแล้วแทนที่น้าแต จะสำนึกในการกระทำของตนเองและพยายามยุติเรื่องราวทั้งหมดลง แกกลับยิ่งหลงระเริงหนักขึ้นกว่าเดิม จนกระทั่งต่อมาน้าแตกั๊ตั้งท้องขึ้น
เมื่อแกตั้งท้องก็ยอมรับกับทุกคนว่าพ่อของเด็กในท้องคือน้าชู แต่ ไม่ยอมบอกว่าแกกับน้าชูเคยมีอะไรกันมาก่อนหน้านี้นานแล้ว กลับ บอกว่าเพิ่งจะเริ่มคบหากับน้าชูหลังจากน้าดวงสามีขอแยกทางไปบวชได้ ระยะหนึ่ง
คนไม่รู้ความจริงแม้จะรู้สืกตำหนิน้าแตอยู่บ้าง แตกไม่กล้าว่าอะไร นักเพราะเชื่อว่าน้าแตเพิ่งมามีอะไรกับน้าชูหลังจากแยกทางกับสามีไป แล้วโดยเฉพาะลูกสาวทั้งสามคนของน้าแตที่เกิดกับน้าดวง
เมื่อน้าดวงหรือ “หลวงน้า” ของสินซึ่งบวชเป็นพระทราบว่าน้าแต กำลังตั้งท้อง และกำลังจะใช้ซีวิตอยู่กินกับน้าชูอย่างเปิดเผย จึงได้บอกให้ลูกๆ ทั้งสามคนแยกตัวมาอยู่บ้านโยมแม่ผู้เป็นย่าของเด็กๆ เพื่อ ป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาต่างๆ ติดตามมา
พฤติกรรมอันเป็นบาปของสองหญิงชายจึงไม่มีใครล่วงรู้ความจริง แต่ผลแห่งบาปที่ทั้งสองได้ร่วมกันก่อกลับไม่ยอมให้อภัยเพราะเมื่อน้าแต คลอดลูกคนเล็กออกมา ปรากฏว่าลูกชายของแกคนนี้เป็นเด็กพิการ
ทารกน้อยผู้น่าสงสารเกิดมาโดยมีเปลือกตาปิดสนิท อีกทั้งใบหู ก็ลีบเล็กแบนราบติดกับหนังหัว เสมือนหนึ่งถูกอำนาจกรรมของผู้เป็น พ่อแม่ดลบันดาลให้เกิดมากลายเป็นเด็กไม่มีตา ไม่มีหู หมดโอกาสจะได้ รู้ได้เห็นเหมือนดังเช่นคนอื่นๆ โดยทั่วไป
นี่คือผลแห่งบาปกรรมที่ตกทอดมาถึงลูก ด้วยเหตุเพราะทั้ง'พ่อและแม่ เคยลักลอบประพฤติชั่วมั่วกามและพยายามปีดหูปิดตาไม'ให้ผู้อื่นรับรู้ การกระทำอันผิดมหันต์ของตนเองหรือไม่ ขอได้โปรดจงพิจารณาดู
สินได้บอกกับผู้เขียนว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น
คงมืแต่ตัวเขากับ “หลวงน้า” อดีตสามีของน้าแตเท่านั้นที่รู้ว่าทั้ง หมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะผลกรรมของหญิงร้ายชายเลวทั้งสองซึ่งปัจจุบัน นี้ทั้งสองยังคงต้องก้มหน้ารับกรรม เลี้ยงลูกพิการที่ไม่มีวันช่วยเหลือตัว เองได้ไปตลอดชีวิต
ขณะเดียวกันฝ่ายหญิงคือตัวน้าแตเองก็มาทราบเมื่อไม่นานมานี้ว่า กำลังถูกโรคร้ายรุมเร้า เธอป่วยเป็นมะเร็งในมดลูกจนต้องได้รับความ เจ็บปวดทรมานแสนสาหัส
ส่วนลูกชายของน้าชูเองก็เป็นคนเจ้าชู้ไม่ผิดกับผู้เป็นพ่อ วันๆ ไม่ทำอะไร เอาแต่ทำตัวเป็นพ่อพวงมาลัยลอยไปลอยมา กินเที่ยวไปวันๆ โดยไม่สนใจจะช่วยเหลือแบ่งเบาภาระให้กับคนในบ้าน
สุดท้ายก็ไปมีเรื่องกับนักเสงใหญ่ประจำอำ๓อเพราะไปแย่งชิงผู้หญิง นั่งดริงก์ในร้านคาราโอเกะคนเดียวกันจนกระทั่งถูกยิงเสียชีวิตขณะ ขี่มอเตอรใชค์กำลังจะกลับบ้านในตอนกลางดึกคืนหนึ่ง เครื่องติดตาม
สินบอกว่าตอนแรกเมื่อเขารับรู้เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับ ครอบครัวของน้าแตแล้วก็รู้สึกสะท้อนใจเพราะสงสารเด็กที่ต้องเกิด มารับกรรมแทนคนเป็นพ่อแม่ และคิดว่าแกคงอยู่ได้ไม่นานเพราะดู แล้วไม่น่ามีชีวิตอยู่ได้เลย สินได้เห็นแกเติบโตขึ้นจนกระ ทั่งอายุได้ า0 กว่าขวบ จากนั้นเขาก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ
ครั้งสุดท้ายที่สินได้เห็นเด็กคนนี้ แกก็ยังคงมีสภาพเหมือนเดิม เหมือนกับตอนเป็นทารกแรกเกิดใหม่ๆ ไม่มีพัฒนาการใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่รูปร่างโตขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น สำหรับส่วนซึ่งพิการมาตั้งแต่แรก เกิดนั้น แพทย์ก็ไม่สามารถรักษาให้หายได้
สินบอกว่าคนในหมู่บ้านของเขามักจะพูดกันว่าคงเป็นเวรกรรมเก่า ของเด็กที่เกิดมามีสภาพพิกลพิการเช่นนี้ ชาติก่อนเขาคงเคยสร้างเวร กรรมไว้มาก เกิดมาชาตินี้จึงต้องมาชดใช้เวรกรรมและยังคงต้องซดใช้ อยู่จนทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งในความคิดของสินก็คิดเช่นนั้นแต่นอกจากเวรกรรมใน อดีตชาติของตัวเด็กเองแล้ว เขายังเชื่อว่าอำนาจกรรมที่พ่อแม่ของเด็ก ได้ร่วมกันก่อขึ้นมีส่วนช่วยผลักดันให้ครอบครัวของพวกเขาต้องมา เผชิญกับสภาพดังที่เป็นอยู่
นั่นคือกรรมเก่าของเด็กผสมกับกรรมใหม่ของคนเป็นพ่อแม่ที่ ร่วมกันก่อบาปด้วยความจงใจ จึงให้ผลกรรมติดตามมาทันในเวลาอัน รวดเร็วโดยไม่ต้องรอไปจนถึงชาติภพหน้าให้เสียเวลาเลย
ทุกครั้งที่มีญาติจากทางบ้านเดินทางเข้ากรุงเทพฯ มาหาสิน สินก็ มักจะถามไถ่ถึงเรื่องราวของเด็กคนนี้อยู่เสมอโดยเขามักจะใช้คำถามว่า เด็กคนนั้นหมดเวรหมดกรรมไปหรือยัง?
แต่คำตอบที่ได้รับก็คือเด็กคนนั้นเคยอยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น ไม่ มีอะไรดีขนเลย แล้วก็ยังไม่ยอมตายไปเสียด้วย!
เรื่องทั้งหมดนี้คงเป็นอุทาหรณ์สอนใจสำหรับผู้ไม่ละอายต่อบาป โปรดจงเชื่อเถิดว่าบาปกรรมนั้นมีตัวตนจริงและเป็นผลแห่งการกระทำ ที่ย่อมไม่มีใครหลบหนีพ้น...
เครื่องดักฟัง