
สมัยที่ข้าพเจ้าทำหน้าที่ประจำอยู่ฝ่ายควบคุมผู้ต้องขังแดน ๘ มีนักโทษคนหนึ่งชื่อ “วัช”อายุประมาณ ๒๗ ปี ก่อคดีปล้นจี้มาแล้วนับสิบๆ คดี ถูกศาลตัดสินลงโทษในแต่ละคดีต่างกรรมต่างวาระรวมแล้ว ๑๐๐ กว่าปี เมื่อทุกคดีถูกศาลตัดสินถึงที่สุดแล้ว น.ช.วัชได้รับการลดโทษลงเหลือ ๔๐ ปี ต่อมาได้ขอสมัครมาฝึกวิชาชีพช่างเหล็กที่ฝ่ายควบคุมแดน ๘
วันหนึ่งข้าพเจ้ามีโอกาสพูดคุยกับ น.ช.วัช ข้าพเจ้าจึงถามว่า “วัชปล้นเขามาตั้งมากมายหลายคดี ไม่เคยทำอาชีพอื่นเลยหรือไง นอกจากปล้นแล้วทำมาหากินอะไรเป็นบ้าง”
น.ช.วัชหัวเราะแหะๆ แล้วตอบว่า “ผมจะไปทำมาหากินอะไรได้ครับ ก็ตอนนั้นผมยังเป็นนักเรียนอาชีวะอยู่เลยนี่ครับ”
ข้าพเจ้า “แล้วทางบ้านกับทางโรงเรียนไม่รู้เลยหรือไงว่าเราหนีเรียนไปปล้นเขากิน”
น.ช.วัช “ทางบ้านผมกับที่โรงเรียนมารู้หลังจากที่ผมถูกจับแล้ว ผมจึงถูกไล่ออกจากโรงเรียนแถมยังต้องมาติดคุก พ่อผมเสียใจมาก ท่านตั้งใจจะให้ผมเรียนจบสูงๆ แต่ผมเดินทางผิด เลือกคบกับเพื่อนที่นิสัยเกเร ทั้งกินเหล้า สูบบุหรี่ ดูดกัญชา และเที่ยวกลางคืน”
ข้าพเจ้า “วัชกับเพื่อนเลยชวนกันออกปล้นชาวบ้านหาเงินเที่ยวกันใช่ไหม”
น.ช.วัช “ช่วงแรกผมยังไม่ได้ออกปล้นเขาครับหัวหน้า ผมกับเพื่อนเริ่มต้นด้วยการออกกระชากสร้อยเขาครับ”
ข้าพเจ้า “แล้ววัชมีวิธีเลือกเหยื่อกับวิธีหนียังไง เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม”
น.ช.วัช “ได้ครับหัวหน้า เหยื่อของผมส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง ผู้ชายก็มีบ้างเหมือนกันแต่น้อยมาก เวลาที่พวกผมจะหาเงินใช้ ผมและเพื่อนจะขี่รถมอเตอร์ไซด์ที่แต่งเครื่องไว้แรงๆ ขับไปตามเส้นทางที่ผมรู้จักทางหนีทีไล่ดี เป้าหมายของผมส่วนใหญ่จะอยู่ตามป้ายรถเมล์ และพวกที่นั่งอยู่บนรถเมล์ริมหน้าต่าง บางครั้งก็บริเวณหน้าตลาดสด หรือตามซอยเปลี่ยว ส่วนใหญ่ผมจะเลือกจุดที่มีคนอยู่น้อย และไม่ห่างจากจุดสำคัญๆ เช่น โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า หรือโรงหนังมากนัก
พอได้เวลาออกหาเหยื่อ ผมและเพื่อนจะขี่รถไปกันเรื่อยๆ ผมจะคอยสังเกตตามป้ายรถเมล์ หรือพวกที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างรถว่ามีใครใส่สร้อยทองบ้าง โดยจุดที่จะลงมือต้องไม่มีคนอยู่มากนัก
เมื่อเห็นเป้าหมายแล้วผมจะสะกิดเพื่อนให้ขี่รถโฉบเข้าไปหา ผมจะเป็นคนลงไปกระชากสร้อย ซึ่งเหยื่อส่วนใหญ่มักจะเผลอตัว บางคนมัวแต่ชะเง้อคอมองหารถเมล์ที่ตนจะนั่ง บางคนนั่งสัปหงกอยู่ริมหน้าต่างรถ บางคนมัวแต่ยืนคุยกันโดยเฉพาะพวกผู้หญิง
เมื่อผมเข้าไปใกล้ตัวเหยื่อได้แล้ว ผมจะยื่นมือคว้าไปที่สร้อยคอแล้วกระชากทันที เวลากระชากต้องกระตุกให้แรงๆ กะว่าทีเดียวต้องให้ขาดติดมือออกมาทันที ไม่อย่างนั้นเหยื่อจะตั้งตัวได้แล้วตะปบสร้อยคืน ทำให้ต้องเสียเวลายื้อแย่ง ซึ่งอาจจะไม่ได้ของแล้วยังโดนรวมบาทาจากพลเมืองดีอีกด้วย
ช่วงเวลาที่ผมชอบลงมือส่วนใหญ่จะเป็นตอนเช้าและตอนเย็น ซึ่งเป็นช่วงที่มีรถวิ่งไปมาค่อนข้างมาก แต่ต้องไม่ให้ถึงกับรถติดนะครับเพราะจะทำให้หนีได้ยาก เมื่อกระชากสร้อยได้แล้วผมจะรีบกระโดดขึ้นซ้อนท้ายรถที่เพื่อนติดเครื่องรอ อยู่ขับหนีออกมาทันที โดยเพื่อนผมจะขับรถมอเตอร์ไซด์มุดหนีไปตามซอกรถที่วิ่งกันอยู่เต็มถนน
คนที่คิดจะเป็นพลเมืองดีแล้วขับรถไล่ตามพวกผมมานั้น ใจไม่ถึงพอที่จะขับรถซิ่งไล่ตามผมในช่วงที่รถเยอะหรอกครับ เพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุไม่มีใครมารับผิดชอบให้ โอกาสที่จะไล่ตามผมทันจึงยากมาก ใจมันถึงผิดกันครับ แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยมีพลเมืองดีคนไหนกล้าตามหรอกครับ กลัวโดนพวกผมสวนด้วยของแข็ง
เมื่อหนีพ้นออกมาจากจุดเกิดเหตุได้พอสมควรแล้ว พวกผมจะเลี้ยวรถหนีเข้าไปตามซอยที่มีทางทะลุได้ แต่จะหนีกันต่อไปไม่ไกลนัก เพราะเมื่อตำรวจได้รับแจ้งเหตุแล้ว จะต้องวิทยุให้ตำรวจตามจุดต่างๆ สกัดจับกุมทันที ถ้ายังขืนขี่รถหนีต่อไปต้องเจอตำรวจแน่นอน ผมจะใช้วิธีขับรถเข้าไปจอดในที่จอดรถของห้างสรรพสินค้า โรงหนัง หรือโรงพยาบาล รวมทั้งสถานที่ราชการ ซึ่งทุกที่จะมีรถมอเตอร์ไซด์รุ่นเดียวและสีเดียวกับของผมจอดอยู่หลายคันยาก แก่การสังเกต แล้วผมกับเพื่อนก็จะเข้าไปเดินเล่นในห้าง หรือดูนั่งหนังอย่างสบายใจ ตำรวจตั้งจุดตรวจไม่นานหรอกครับ ประมาณไม่เกินชั่วโมง กว่าพวกผมจะดูหนังเสร็จตำรวจก็กลับกันหมดแล้ว
หลังจากเดินเล่นหรือดูหนังจบ ผมและเพื่อนจะแยกย้ายกันกลับ ผมจะเป็นฝ่ายนั่งรถเมล์กลับบ้าน ส่วนเพื่อนผมจะขี่รถมอเตอร์ไซด์กลับคนเดียว ของกลางอยู่ที่ผม ตำรวจไม่ขึ้นค้นรถเมล์หรอกครับ แต่ถ้าหนีขึ้นรถแท๊กซี่ไม่แน่บางครั้งตำรวจอาจเรียกตรวจก็ได้ หนีทางรถเมล์อาจจะช้าหน่อยแต่รับรองว่าปลอดภัยที่สุด
บางครั้งผมกับเพื่อนเคยจอดรถมอเตอร์ไซด์ทิ้งไว้ในโรงพยาบาลทั้งคืน พอวันรุ่งขึ้นค่อยไปขี่รถออกมากลับบ้าน ไม่มีตำรวจคนไหนสนใจเรียกตรวจหรอกครับ เพราะเรื่องเกิดข้ามวันมาแล้ว คดีในกรุงเทพฯวันๆ เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน เขาไม่มาสนใจคดีเล็กๆ แค่คดีเดียวหรอกครับ”
ข้าพเจ้า “แล้ววัชกับเพื่อนเริ่มออกปล้นเมื่อไร”
น.ช.วัช “หลังจากที่ผมกระชากสร้อยมาได้สิบกว่าครั้งครับ ตอนนั้นผมขายสร้อยทองได้เงินมาก้อนหนึ่ง พอดีมีเพื่อนผมคนหนึ่งเอาปืนเถื่อนไทยประดิษฐ์มาเสนอขายให้ในราคาถูก ผมจึงตกลงซื้อไว้
พอพวกผมมีปืนอยู่ในมือแล้ว เพื่อนร่วมแก็งของผมคนหนึ่งมันบอกว่าแถวบ้านมันมีบ้านหลังหนึ่งค่อนข้างมี ฐานะ กลางวันจะมีคนอยู่บ้านแค่คนเดียวเป็นผู้หญิง เพื่อนบ้านข้างเคียงก็ออกไปทำงานกันหมด น่าที่จะลงมือบุกเข้าปล้นได้ไม่ยาก ผมและพวกจึงขี่รถไปดูลาดเลาและทางหนีทีไล่กัน ปรากฏว่าทางค่อนข้างจะสะดวก เพราะยามหมู่บ้านก็ไม่มี หมาก็ไม่เลี้ยงไว้ แถมห่างไกลจากจุดตรวจของตำรวจอีกด้วย ผมและเพื่อนจึงกลับมาวางแผนปล้นทันที เครื่องติดตามตัว
วันที่ลงมือปล้นครั้งแรก ผมทำทีเป็นเดินเข้าไปกดออดของบ้านหลังนั้นแล้วตะโกนถามหาชื่อคน ผู้หญิงในบ้านไม่ทันระวังตัวเดินออกมาหาผมที่ประตูหน้าบ้าน ผมจึงใช้ปืนจี้แล้วบังคับให้กลับเข้าไปข้างในบ้าน แล้วช่วยกันกับเพื่อนค้นหาข้าวของเก็บกวาดของมีค่า วันนั้นผมได้เงินมาไม่มากเท่าไร แต่ได้ทองมาหลายบาท แถมด้วยปืนอีกหนึ่งกระบอก ซึ่งน่าจะเป็นปืนของผัวผู้หญิงคนนั้น เสร็จแล้วช่วยกันจับผู้หญิงคนนั้นมัดมือขังไว้ในห้องน้ำ เรื่องฆ่าหรือทำร้ายเจ้าทรัพย์พวกผมไม่ทำอย่างเด็ดขาด
หลังจากปล้นเสร็จและพากันหนีออกมาจากบ้านหลังนั้นแล้ว ผมรู้ว่าอีกไม่นานผู้หญิงคนนั้นจะต้องช่วยเหลือตัวเองได้ และจะต้องแจ้งตำรวจอย่างแน่นอน ซึ่งตำรวจจะต้องวิทยุสกัดจับพวกผมทั่วเมือง ผมและเพื่อนจึงขี่รถเข้าไปจอดไว้ในโรงพัก แล้วออกมานั่งเล่นกันที่ป้ายรถเมล์หน้าโรงพักเพื่อรอดูเหตุการณ์ ผมถือสุภาษิตที่ว่าจุดที่อันตรายที่สุด คือจุดที่ปลอดภัยที่สุด
พวกผมนั่งได้เพียงเดี๋ยวเดียวเท่านั้นก็เห็นตำรวจแห่กันออกไปจากโรงพัก มุ่งหน้าไปตามทิศทางของบ้านหลังที่พวกผมบุกเข้าปล้น ซึ่งไม่มีตำรวจคนไหนหันมาสนใจพวกผมเลยแม้แต่คนเดียว ผมและเพื่อนจึงขึ้นรถเมล์กลับบ้าน โดยทิ้งรถไว้ที่โรงพักแห่งนั้น มีตำรวจคอยเฝ้ารถให้อีกต่างหาก
พอนั่งรถเมล์ออกมาได้ซักหน่อยหนึ่ง ผมเห็นตำรวจตั้งด่านตรวจค้นรถทุกคัน แต่ไม่มีตำรวจคนไหนขึ้นค้นตรวจบนรถเมล์แม้แต่คันเดียว พวกผมเลยรอดตัว รุ่งขึ้นจึงให้เพื่อนอีกคนหนึ่งไปเอารถที่โรงพักแห่งนั้นขี่กลับมา ซึ่งไม่มีตำรวจคนไหนสนใจเพื่อนผมแม้แต่น้อย
ตั้งแต่นั้นมาเวลาผมออกปล้นผมจะใช้วิธีนี้อยู่เป็นประจำ เมื่อปล้นเสร็จแล้วจะไปนั่งรอดูเหตุการณ์ที่หน้าโรงพัก บางครั้งผมกำลังเลี้ยวรถเข้าไปในโรงพักยังไม่ทันได้จอดรถดีเลย ตำรวจก็สวนออกไปที่เกิดเหตุกันแล้ว เสียงวิทยุสกัดจับให้วุ่นวายไปหมด ไม่มีตำรวจคนไหนหันมาสนใจหรือคิดว่ามีโจรมานั่งเล่นอยู่ใต้จมูกใกล้ๆ นี่เอง
แหล่งรวมพลของพวกผมคือบ้านที่เช่าไว้ในชุนชนแห่งหนึ่งซึ่งมีทางออกได้หลาย ทาง ของที่ปล้นมาได้ก็จะกระจายกันออกขายหาเงินเที่ยวกัน เมื่อเงินหมดก็ออกหาปล้นใหม่ มีบางที่เป็นแหล่งรับซื้อของโจรโดยเฉพาะแต่ค่อนข้างจะกดราคา ในบางครั้งพวกผมก็ต้องยอมขายของที่ปล้นมาได้ให้กับพวกนี้ในราคาถูก อย่างว่าแหล่ะครับของมันร้อนเก็บไว้นานไม่ได้
ต่อมาตำรวจสืบรู้ว่าพวกผมเป็นแก๊งปล้น จึงมาคอยดักตระครุบตัวพวกผม ซึ่งตามปกติพวกผมจะคอยสังเกตคนที่ผ่านเข้าออกภายในซอยอยู่เสมอ ถ้าเห็นมีคนแปลกหน้าเข้ามาเพ่นพ่านก็จะรีบส่งข่าวบอกต่อๆ กันให้ระวังตัว เมื่อแน่ใจว่าเป็นตำรวจก็จะแยกย้ายกันหนีตัวใครตัวมัน ถ้าหนีรอดไปได้ก็ให้ไปเจอกันที่บ้านของพรรคพวกที่ได้นัดแนะกันไว้
แต่สุดท้ายพวกผมก็ถูกตำรวจจับได้เกือบหมดทุกคน มีการออกข่าวพวกผมทั้งทางหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ เมื่อเจ้าทุกข์เห็นหน้าพวกผมเข้าก็แห่กันมาชี้ตัวเต็มไปหมดนับคดีไม่ถ้วนเลย ทีนี้ ดีนะที่พวกผมไม่เคยฆ่าใครเวลาเข้าปล้น ไม่อย่างนั้นโทษที่ได้รับคงหนักกว่านี้แน่นอนครับ อาจจะถึงขั้นประหารเลยก็ได้”
ข้าพเจ้า “แล้วเวลาที่วัชกับพวกออกปล้นจะทำสำเร็จทุกครั้งเลยหรือเปล่า”
น.ช.วัช “ไม่ทุกครั้งหรอกครับหัวหน้า บางบ้านปล่อยหมาตัวใหญ่ที่เลี้ยงไว้เดินอยู่ภายในบ้าน พวกผมก็ต้องล่าถอย บางบ้านเจ้าของบ้านไหวตัวไม่ยอมเดินออกมาหาพวกผมที่หน้าบ้าน แถมยังใส่กลอนประตูอีกต่างหาก ก็เข้าปล้นไม่ได้ บางบ้านไปดูลาดเลาแล้วเห็นมียามคอยตรวจตราตลอดเวลาก็เข้าปล้นไม่ได้เช่นกัน
บางบ้านแสดงอาการบอกให้รู้ว่ากำลังจะขอความช่วยเหลือจากคนอื่น พวกผมก็จะรีบเผ่นหนีออกมาทันที ตำรวจไม่ตั้งด่านสกัดจับหรอกครับ เพราะยังไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น และตำรวจมักจะคิดว่าคนที่แจ้งกลัวเกินเหตุกันไปเอง จากนั้นพวกผมก็จะหาเหยื่อรายใหม่ ถ้ารายไหนเผลอ รายไหนไม่ทันระวังตัว รายนั้นเสร็จพวกผม แต่ถ้ารายไหนรู้จักระวังตัวเข้าปล้นยาก พวกผมก็จำเป็นต้องยกเลิก พวกโจรปล้นอย่างผมไม่เสี่ยงหรอกครับถ้าดูแล้วเห็นว่ารายไหนเป็นหมูเขี้ยว ตัน”
นี่คือเรื่องเล่าจากหนึ่งในนักปล้นที่ข้าพเจ้าเคยได้รับฟังมาหลายครั้งจาก หลายคน ซึ่งการหลบหนีตำรวจของ น.ช.วัชใกล้เคียงกับนักปล้นอีกคนหนึ่งที่ถูกประหารชีวิตไปแล้ว โดยก่อนที่จะถูกประหารได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เมื่อก่อคดีปล้นเสร็จมักจะหลบไปอยู่แถวหน้าโรงพัก แล้วจึงจะหลบหนีต่อไปทางรถเมล์ซึ่งยากแก่การตรวจค้น
สำหรับสุจริตชนทั่วไปก็ควรจะช่วยกันระวังป้องกันตนเองและครอบครัว โดยการใส่กลอนประตูบ้านไว้ตลอดเวลา อย่าให้ใครเปิดประตูบ้านเข้ามาได้ง่ายๆ เมื่อมีคนแปลกหน้ามาเรียกหาก็อย่าเพิ่งรีบออกไปหาโดยเด็ดขาด ให้ใช้วิธีตระโกนถามตอบเอา ถ้าคนแปลกหน้ายังพยายามที่จะขอคุยกับเราให้ได้ ก็ให้โทร.เรียกยามในหมู่บ้านหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ใกล้เคียงที่สุดมา ตรวจสอบก่อน และถ้าเป็นไปได้ให้พยายามจดจำสีรถ รุ่นรถ หมายเลขทะเบียนรถ ตลอดจนลักษณะท่าท่างและการแต่งตัวของคนแปลกหน้าไว้ด้วย เพื่อที่ตำรวจจะได้ใช้เป็นข้อมูลสำหรับสกัดตรวจสอบเมื่อมีเหตุต้องสงสัย หรืออาจจะเลี้ยงหมาไว้ในบ้านด้วยยิ่งดี ถ้ามีอาวุธปืนอยู่ภายในบ้าน ก็ควรให้อยู่ในจุดที่จะสามารถหยิบฉวยขึ้นมาป้องกันตนเองได้อย่างทันท่วงที แต่ก็ต้องระวังไม่ให้เด็กหยิบปืนไปเล่นได้ด้วย
นอกจากนั้นทรัพย์สินที่มีค่าก็อย่าใส่ให้มากนัก เพราะเป็นสิ่งที่ล่อตาของเหล่ามิจฉาชีพ เมื่อออกนอกบ้านก็พยายามอย่าเผลอตัวให้ใครเข้าประกบถึงตัวได้อย่างง่ายๆ ถ้าสงสัยก็ให้เดินเลี่ยงเข้าไปยืนรวมอยู่ในกลุ่มคนหมู่มาก ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินก็จะตามมา เราต้องช่วยดูแลตัวเองและครอบครัวให้ดีก่อน ก่อนที่จะให้คนอื่นมาคอยดูแล เพราะในบางครั้งคนร้ายไม่ใช่เอาแค่ทรัพย์สินเงินทอง แต่อาจจะเอาความสาวหรือชีวิตของท่านกลับไปด้วยก็ได้
thaispygadget