ปลายเดือนธันวาคม 2538 มิสเตอร์สจ๊วต มาเชเดอร์ พ่อของโจแอน ร้อนใจที่ไม่ได้รับการติดต่อจากลูกสาว ซึ่งบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาเที่ยวเมืองไทย และให้สัญญาว่าจะกลับมาฉลองคริสต์มาสช่วงปลายปี แต่ขาดการติดต่อไปตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม เขาจึงร้องขอให้เพื่อนในเมืองไทยประกาศตามหาลูกสาวทางหน้าหนังสือพิมพ์ ก่อนจะขึ้นเครื่องจากเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ มาเมืองไทย พร้อมด้วยนักสืบเอกชนในวันที่ 30 ธันวาคมปีเดียวกัน
"เคยเห็นผู้หญิงในรูปนี้หรือเปล่าครับ" หมวดหนุ่มสังกัดกองกำกับการสืบสวนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (กก.สส.สตม.) สอบถามพนักงานต้อนรับหน้าเคาน์เตอร์ ของเกสท์เฮาส์แห่งหนึ่งริมหาดเฉวง เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี
ซึ่งผู้กำกับวรเทพ เมธาวัฒน์ ผกก.สส.สตม. ก็บอกต่อกับนายสจ๊วต มาเชเดอร์ พ่อของโจแอนที่บินด่วนมาจากเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ เพื่อตามหาลูกสาวคนเดียว พร้อมสันนิษฐานต่อว่า
"เป็นไปได้หรือไม่ว่าโจแอนจะไปเกาะพะงัน"
หนึ่งวันก่อนหน้านี้ พ.ต.อ.วรเทพ ได้รับคำสั่ง จาก พล.ต.ท.กิตติศักดิ์ ประภาวัต ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ให้นำทีมสืบสวน สตม. เดินทางไปกับนายสจ๊วต และนักสืบเอกชนที่สจ๊วตจ้างมา ออกตามหา น.ส.โจแอน นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษคนนี้
ข้อมูลของ "โจแอน" ที่ผู้กำกับวรเทพมีในมือก็คือ โจแอนเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย ทางครอบครัวจึงอนุญาตให้เดินทางไปทัวร์ประเทศออสเตรเลียและเมืองไทย เป็นของขวัญ
โดยโจแอนไปเที่ยวออสเตรเลีย ก่อนจะก็เดินทางมากรุงเทพฯ พร้อมพักที่อพาร์ตเมนต์เพื่อนของสจ๊วตย่านสุขุมวิทเป็นที่แรก
จากนั้นโจแอนก็ออกท่องเที่ยวในหลายที่ โดยไปซื้อทัวร์ที่ถนนข้าวสาร แหล่งรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติกลางกรุง
ครั้งสุดท้ายต้นเดือนธันวาคม 2538 โจแอนโทรศัพท์ทางไกลกลับบ้านบอกกับแม่ด้วยเสียงร่าเริงว่า ทิปนี้สนุกและสบายดี
ขณะนี้อยู่ที่สถานีรถไฟใน อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน
"คุณเคยเห็นเธอมั้ย"
"เคยเห็นเธอมั้ย"
"เคยเห็นผู้หญิงในรูปมั้ยครับ" เสียงตำรวจสืบสวน สตม.เดินถามนักท่องเที่ยว พนักงานทำความสะอาดบังกะโล เด็กเสิร์ฟร้านอาหารทั่วเกาะพะงัน แข่งกับเสียงเพลงที่ดังอึกทึกในงานฟูลมูนปาร์ตี้ ตลอดทั้งคืน กระทั่งรุ่งเช้าจบปาร์ตี้ก็ไม่มีใครเคยเห็นหน้าแหม่มเมืองผู้ดีคนนี้เลย
"ไม่มีใครเห็นโจแอนเลยครับคุณสจ๊วต" ผู้กำกับวรเทพแจ้งในสิ่งที่สจ๊วตไม่อยากได้ยินเป็นครั้งที่ 2
สองวันแล้วของการตามหา "โจแอน" ทีมสืบสวนไม่ได้อะไรเกี่ยวกับเธอเลย
ทีมสืบตัดสินใจออกจากสมุยและพะงัน มุ่งหน้าสู่ชายฝั่งทะเลตะวันออก
สองวันเต็มๆ ที่พัทยาและเกาะเสม็ด ทั้งผู้กำกับวรเทพ และ พ.ต.ต.สุมิตร คุณานุคุณ สารวัตรสืบสวน สตม. พร้อมลูกน้องร่วมทีม และสจ๊วต ตระเวนตามหาโจแอนด้วยวิธีเดิมคือถามหาจากรูปถ่าย
กระทั่งมาเจอบังกะโลหลังหนึ่ง
"อ๋อ... แหม่มคนนี้ผมจำได้ แม่นเลย เธอมากับผู้ชายคนนึง ขลุกอยู่ในห้องกันทั้งวัน ไม่ออกมา มีแต่สั่งเบียร์เข้าไป" พนักงานทำความสะอาดของบังกะโลกล่าว
ผู้กำกับวรเทพรีบพาหนุ่มน้อยไปสอบปากคำทันที เพราะนี่เป็นกุญแจดอกสำคัญในขณะนี้
แต่สจ๊วตก็ยืนยันหนักแน่นว่า
"ผมไม่เชื่อหรอก ลูกสาวผมไม่ใช่คนอย่างนั้น โจแอนไม่มีทางมามั่วผู้ชายอย่างที่เขาว่าเด็ดขาด"
หลังจากประมวลคำให้การ และอีกหลายๆเหตุผล ทำให้ผู้กำกับวรเทพ ตัดสินใจพาทีมสืบออกจากเกาะเสม็ด
ข่าวการตามหาตัวแหม่ม "โจแอน" แพร่สะพัดออกไป
ทีมสืบสวนยังคงเดินหน้าตามหา โจแอน ภายใต้ภาวะกดดัน ทั้งคำสั่งจี้จากหน่วยเหนือ และการเกาะติดของสื่อมวลชน
แม้การทำงานของทีมสืบสวนจะพลาดเป้ามาแล้ว 2 ครั้ง แต่ทีมสืบก็ไม่ย่อท้อฝังหมุดตามต่อที่ เกาะช้าง จ.ตราด
จากวันที่ 5 ล่วงเข้าสู่วันที่ 6 ภาพถ่ายของโจแอนนับร้อยๆภาพ ถูกแจกจ่าย ปิดประกาศหาทั่วเกาะ ...แต่ไร้วี่แวว
คว้าน้ำเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า!!
กระทั่งมื้อค่ำวันที่ 6 "สจ๊วต" กลั้นความรู้สึกเป็นห่วงลูกสาวไม่ไหวถึงกับปล่อยโฮออกมากลางวงข้าว
ซึ่งภาพนั้นตรึงตราในความทรงจำของผู้กำกับวรเทพ ที่ประหวัดไปถึงลูกสาวของตัวเอง จนกลายเป็นแรงฮึดมุ่งมั่นจะต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ว่าเธออาจจะเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณก็ตาม...
ท่ามกลางแรงกดดันรอบด้าน คำปรามาสมากมายจากเพื่อนร่วมวงการ รวมทั้งผู้บังคับบัญชาบางคน ทำให้ผู้กำกับวรเทพคิดหัวแทบระเบิดว่าจะทำอย่างไรดี
และแล้วคำพูดนักสืบรุ่นพี่ก็ผ่านเข้ามาในห้วงความทรงจำ
"ถ้าสืบอะไรแล้วมันถึงทางตัน ให้กลับไปเริ่มต้นที่ศูนย์ใหม่"
ซึ่งมันเป็นคำพูดเดียวที่ทำให้เขาข่มตาหลับลงได้ในคืนนั้น!
รุ่งขึ้นผู้กำกับวรเทพ ดักรอพบสจ๊วตที่ล็อบบี้โรงแรม
"คุณยังเชื่อใจผมมั้ย?"
สจ๊วตนิ่งคิดชั่วครู่ก่อนพยักหน้า
"ถ้าคุณเชื่อผม ผมขอพบภรรยาคุณหน่อยได้มั้ย"
"โอเค" ทั้งหมดเดินทางกลับกรุงเทพฯทันที
พวกเขามุ่งหน้าไปยังอพาร์ตเมนต์ในย่านสุขุมวิท ที่โจแอนเข้าพักเมื่อมาถึงกรุงเทพฯ
"เราไปรับเธอที่สนามบินและพามาพักด้วยกันที่นี่ เธอชอบมาทานน้ำที่ริมสระประจำ" เจ้าของอพาร์ตเมนต์ ซึ่งเป็นเพื่อนของสจ๊วตบอกกับทีมสืบสวน
"โจแอนเขาชอบทำอะไรบ้างครับ?" ผกก.วรเทพ สอบถามแม่ของโจแอน เพื่อต้องการทราบนิสัยใจคอของเธอ ตามทฤษฎีฮิวเม่น บีอิ่ง หรือ พฤติกรรมมนุษย์ สำหรับใช้ตั้งต้นแกะรอยตามหา "โจแอน"
"โจแอนเป็นคนตรงต่อเวลา เขียนไดอารี่ทุกวัน ชอบเที่ยวแบบทัศนศึกษา ประหยัด ไม่เคยมีเรื่องชู้สาว ไม่ยุ่งยาเสพติด เพราะรักและใกล้ชิดกับครอบครัวมาก" นั่นคือสิ่งที่แม่ของโจแอนถ่ายทอดความเป็นตัวตนของลูกสาวให้ทีมสืบสวนทราบ
วันที่ 8 ของการตามหา "โจแอน" ทีมสืบสวน สตม. กว่า 50 นาย ปูพรมทั่วถนนข้าวสาร เขตพระนคร ที่ซึ่งโจแอนไปหาซื้อทัวร์ ตามคำบอกเล่าของเจ้าของอพาร์ตเมนต์
จนมาถึงร้านขายทัวร์ร้านหนึ่ง "สารวัตรสุมิตร" เหลือบไปเห็นเป้แบบแบ๊คแพคใบใหญ่ใบหนึ่งที่หลังเคาน์เตอร์ติดต่อสอบถาม เป้ใบนั้นมีตราสายการบินที่โจแอนโดยสารมาผูกติดอยู่
นับเป็นโชคดีของทีมสืบสวน มันคือเป้ของโจแอน ที่ฝากไว้!!
เป้ใบนั้นถูกนำมาที่กองสืบ สตม.ทันที
โดยของในเป้ถูกนำออกมาวาง รวมทั้งฟิล์มสี 6 ม้วนที่หล่นจากช่องเก็บของด้านหน้าด้วย
ผู้กำกับวรเทพ รีบสั่งลูกน้องนำฟิล์ม 6 ม้วน ไปล้างอัดขยายด่วน ด้วยความหวังว่า ภาพที่ปรากฏในฟิล์มอาจจะบ่งบอกอะไรได้บ้าง
ภาพทั้งหมดถูกนำมาเรียงขึ้นชาร์จ มันทำให้เห็นเรื่องราวตั้งแต่โจแอนเที่ยวกระโดดบันจี้จั๊มที่ออสเตรเลีย กระทั่งมาถึง อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน
ทีมสืบระดมสมองอย่างเคร่งเครียด เพื่อหาคำตอบที่อาจแฝงอยู่ในภาพตรงหน้า
"ดูจากรูป รองเท้าเดินป่าสีน้ำตาลที่เธอใส่ที่ออสเตรเลีย มันไม่อยู่เป้ โจแอนใส่รองเท้าแค่ 3 คู่ มีอยู่ในกระเป๋า 2 คู่ เพราะฉะนั้นคู่ที่หายไป เธอน่าจะใส่ไปนะ แล้วใส่รองเท้าแบบนี้ ก็น่าจะเที่ยวป่า" ข้อสันนิษฐานจากโต๊ะทีมสืบสวนก่อนจะสรุปเป้าหมาย
"ถ้ำทองโกโบริ เมืองกาญจน์"
"กริ๊ง กริ๊งๆๆ"
"นายครับ ตำรวจท่องเที่ยว เมืองกาญจน์ รายงานมาครับ บอกว่าเจอไดอารี่ของโจแอนที่เกสท์เฮาส์แถวแม่น้ำแควใหญ่ครับ ...เธอไปพักที่นั่นเมื่อต้นเดือน" ลูกน้องในทีมสืบสวนโทรศัทพ์รายงานผู้กำกับวรเทพ
ผู้กำกับวรเทพและสจ๊วต พร้อมทีมงานรีบบึ่งไปเมืองกาญจน์ทันที
"นั่งรถไฟมาที่กาญจนบุรี ได้เจอครูเนตรนารีที่น่ารักมาก ต้อนรับอย่างดี และก็แนะนำให้มาที่เกสท์เฮาส์นี่ ...พรุ่งนี้จะกลับแล้ว" ข้อความบันทึกไว้ในไดอารี่ หน้าล่าสุด
ทีมสืบสวนเดินทางไปยังเกสท์เฮาส์ดังกล่าวซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำแควใหญ่ กลางเมืองกาญจนบุรี
"นี่คือห้องที่โจแอนมาพัก เธอมาจ่ายค่าห้องตอน 9 โมง บอกว่าจะออกไปเที่ยวแล้วจะกลับมาเช็คเอาท์ตอน 11 โมง ก่อนที่เธอจะหายไป" เจ้าของเกสท์เฮาส์แจง
"จากความเป็นคนตรงต่อเวลาของโจแอน แสดงว่าเธอตั้งใจจะกลับที่พักตามนัดตอน 11 โมง ดังนั้นช่วง 2 ชั่วโมงที่ไปเที่ยว ต้องไม่ไกลจากที่พักนัก" ทีมสืบวิเคราะห์
"นายครับ ข้างเกสท์เฮาส์มีร้านเช่าจักรยาน เขาบอกว่ามีฝรั่งมาเช่าจักรยานแล้วหายไป 1 เดือนแล้วครับ เขายืนยันว่าคือคุณโจแอน" ลูกน้องมารายงานผู้กำกับวรเทพ
ก่อนที่ผู้กำกับวรเทพจะสั่งทีมสืบสวนระดมปูพรมสถานที่ท่องเที่ยวพื้นที่รัศมี 1 กิโลเมตร รอบเกสท์เฮาส์แห่งนี้
หลายชั่วโมงผ่านไป
"เราเจอจักรยานแล้วครับ อยู่ที่วัดถ้ำเขาปูน" รองสารวัตรรายงาน
ทีมสืบทั้งหมดได้รับคำสั่งให้ยุติการค้นหา แล้วให้ไปพร้อมกันที่วัดถ้ำเขาปูนเพื่อปูพรมรอบวัดทันที
โดยผู้กำกับวรเทพและสจ๊วต ก็มุ่งหน้าไปยังวัดถ้ำเขาปูนเช่นเดียวกัน และระหว่างทางตำรวจท่องเที่ยวนายนึงก็เปรยขึ้นว่า
"วัดนี้ฝรั่งเคยร้องเรียนว่าถูกพระที่สักเสือลายพาดกลอนพยายามข่มขืน"
คำพูดนี้เองทำให้ผู้กำกับวรเทพ เปลี่ยนแผนกะทันหัน จากเดิมจะเข้าพบเจ้าอาวาสและเรียกสอบทุกคนในวัด ก็เปลี่ยนเป็นมุ่งหน้าไปยังกุฏิเจ้าของรอยสักทันที
"ก๊อก ก๊อก"
"มีใครอยู่บ้าง เปิดหน่อย"
"เฮ้ยๆ มีคนปีนหนีด้านหลัง" เสียงของรองสารวัตรที่อ้อมไปด้านหลังกุฏิตะโกนบอก
ชุดสืบสวนเปิดประตูเข้าไป พบพระยอดชัด เสือภู่ พระลูกวัด กำลังนั่งเสพยาบ้าอยู่กับเด็กวัด 2 คน
"เราได้กลิ่นเหม็นเน่าที่ถ้ำด้านหลังครับนาย โชยมาจากในหลุม" ผู้กำกับวรเทพ ผละจากการสอบปากคำพระยอดชัด วิ่งขึ้นไปยังถ้ำทันที
ชุดสืบสวนโรยตัวลงไปในหลุม หยิบแหวนวงหนึ่งขึ้นมา ทันทีที่สจ๊วตเห็นถึงกับเข่าอ่อนน้ำตานองหน้า หันมาพูดกับผู้กำกับวรเทพเพียงประโยคสั้นๆ ประโยคเดียว
"คุณต้องหาคนที่ฆ่าลูกสาวผมให้ได้นะ" พร้อมขอตัวกลับโรงแรมทันที
ศพของโจแอนถูกนำขึ้นจากหลุมในเย็นวันนั้น และส่งชันสูตรยืนยันที่สถาบันนิติเวชวิทยา
ขณะที่พระยอดชัด ถูกนำตัวไปสอบสวนที่ สภ.เมืองกาญจนบุรี
ไม่นาน "สมียอดชัด" ก็เปิดปากสารภาพว่า "ผมเอาไม้ตีหัวโจแอน เพราะหวังจะเอาเงินไปเสพยาบ้า แล้วผลักเธอลงไปในหลุม"
ในที่สุด 10 วันในการตามหาตัว "โจแอน" ก็ประสบความสำเร็จ
แม้จะพบเพียงร่างไร้วิญญาณ แต่ทีมสืบสวนก็สามารถจับกุม "สมียอดชัด" ทรชนในคราบนักบวชได้สำเร็จ
และ "ยอดชัด" เองก็รับผลกรรมจากสิ่งที่เขาได้ทำลงไป หลังถูกศาลชั้นต้นตัดสินประหารชีวิต แม้ต่อมาศาลฎีกาจะลดโทษให้จำคุกตลอดชีวิต
แต่ไม่รู้ว่าผลกรรมหรือเพราะอะไร "สมียอดชัด" ก็ตายในคุกเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี่เอง
ขอขอบคุณข้อมูลคดีในหลายแหล่งข่าวด้วยครับ
หมายเหตุ...คดีนี้ผมติดตามมาตลอด เพราะผมก็เป็นลูกศิษย์วัดถ้ำเขาปูนด้วย เคยไปอยู่มาเป็นเดือน และเคยเป็นมาลาเรียก็จากที่แห่งนี้ เมื่อเจอหน้ายอดชัดที่บางขวางตอนส่งมาถึงในวันแรก บอกตรงๆว่าผมอยากจะกระทืบให้มันตายตรงนั้นเลย แต่ก็ต้องอดกลั้นเพราะกฎหมายได้ตัดสินลงโทษเขาให้แล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอดชัดจะไม่ถูกประหาร แต่เขาก็ตายในคุก วิญญาณต้องถูกจองจำทั้งในคุกและในนรกไม่มีทางได้ผุดได้เกิด สาสมกับความผิดที่เขาทำแล้วครับ
ขอขอบคุณผู้เขียน ยุทธบางขวาง
thaispygadget