
เรื่องขำๆที่วัดป่างิ้ว
เรื่องต่อไปนี้ผู้เขียนได้บันทึกขึ้นเป็นตอนๆตามแต่จะนึกได้ เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ที่เล่าไว้ในเรื่องนี้ จึงอาจจะไม่เรียงกันเป็นลำดับตามวันเวลา แต่เมื่อท่านอ่านจบตลอดเรื่องแล้ว ท่านก็อาจมองเห็นภาพชีวิตในชนบทที่ชาว ก.ส.อพยพไปอาศรัยอยู่ได้ชัดเจนพอสมควร ผู้เขียนตั้งใจจะบันทึกประวัติตอนหนึ่งของชาว ก.ส.ไว้ให้ผู้ที่ไม่เคยรู้ได้รู้ และให้ผู้ที่รู้แล้วได้ทบทวนความทรงจำ และรำลึกถึงความรักใคร่สามัคคีซึ่งมีเป็นพิเศษในยุคอันคับขันนั้นได้ด้วย
ชาว ก.ส.และผู้อ่านส่วนมากหาทราบไม่ว่าป่างิ้วคืออะไร? อยู่ที่ไหน? สำคัญอย่างไร? แต่สำหรับชาว ก.ส.รุ่น ๒๔๘๗-๘๘ และครูบาอาจารย์ส่วนมากที่รับราชการอยู่ในโรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวายใน ปัจจุบันนี้รู้จักป่างิ้วดี – ดีจนกระทั่งว่าถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ขอไปอยู่ที่นั่นอีก แต่ถึงกระนั้นเราก็ยังลืมป่างิ้วไม่ลง ทุกคนอยากไปเยี่ยมป่างิ้วอีก ถ้าเรามีโอกาศและเวลารวมทั้งสตางค์ด้วยอย่างเพียงพอ
เครื่องดักฟัง
เดิมทีเดียวผู้เขียนเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าป่างิ้วคืออะไร? อยู่ที่ไหน ฯลฯ ราวๆปลายเดือนกันยายน พ.ศ.๒๔๘๗ ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ใหญ่ให้ไปประจำทำการสอนนักเรียนช่างก่อสร้างที่ ร.ร.ช่างไม้ตำบลวัดป่างิ้ว อ.สามโคก จ.ปทุมธานี ตอนนั้นผู้รับคำสั่งคือผู้ที่เขียนเรื่องให้ท่านอ่านอยู่นี่แหละ กำลังนอนเจ็บอยู่ที่พระประแดงเพราะสู้ฤทธิ์ยุงเมืองไทยไม่ได้ เจ้ายุงนี่มันร้ายกว่าเสืออย่างกรมสาธารณะสุขเขาว่าไว้แน่ พิษสงของมันทำเอาผู้เขียนนอนแผ่สองสลึงอยู่ถึงหกเดือน เป็นแล้วหาย, หายแล้วเป็นอีกอยู่หลายครั้งหลายครา
จนกระทั่งครั้งสุดท้ายเมื่อได้รับคำสั่งรู้สึกเจ็บใจไอ้โรคยุงนัก รวมทั้งเป็นห่วงพี่น้องชาวเราที่ล่วงหน้าขึ้นไปรออยู่ก่อนแล้ว กับวิตกไปว่าโยมของอาตมาซึ่งนอนหลับไม่รู้นอนคู้ไม่เห็นอยู่ที่บ้านจะถูกชาว เราส่งความคิดไปถึงท่านด้วย จึงรวบรวมกำลังโซเซขึ้นมากรุง ไปหาหมอเกริกที่สหการแพทย์ให้เขาฉีดๆๆยาให้เสียพอแรง พอฉีดเสร็จกลับบ้านสั่งให้ลูกศิษย์เก่าตระเตรียมข้าวของให้ เสร็จแล้วรุ่งขึ้นเผ่นไปที่ท่าเรือจ้างวัดไพชยนต์ ปากลัด ลงเรือจ้างแวะไปเยี่ยมชวลิตที่โรงสี ๓-๔ ของบริษัทข้าวไทยหน่อยหนึ่ง ขณะนั้นเขาเป็นผู้จัดการอยู่ที่โรงสีนั่น พอเห็นสารรูปของผู้เขียนเข้าก็สงสาร จึงสั่งให้เรือยนตร์ของบริษัทพาไปส่งที่ท่าเรือแดงที่ท่าเตียน เพราะเผอิญเรือยนตร์เขามีธุระไปทางนั้นอยู่แล้วด้วย นับว่าเคราะห์ดีหน่อย เครื่องติดตาม
พอถึงท่าเตียน ขนของขึ้นเรือยนตร์โดยสารซึ่งเขาเรียกกันทั่วไปว่า “เรือแดง” เสร็จแล้ว ก็จัดแจงไปซื้อตั๋ว พบนักเรียนคนหนึ่งซึ่งผู้เขียนไม่เคยรู้จักมาก่อน ที่หน้าอกเสื้อของเขาติดอักษร ก.ส.ตัวแดงแจ๋ ใต้อักษรย่อลงไปเปนตัวเลขประจำตัว ผู้เขียนก็แน่ใจว่าเปนพวกเฟรชีของเลือดน้ำเงินแน่แล้ว จึงแสร้งถามดูว่า “คุณเปนนักเรียนช่างก่อสร้างหรือ?” เขาตอบอย่างสุภาพเรียบร้อยว่า “ใช่ครับ” ผู้เขียนจึงถือโอกาศซักถามความเป็นไปของพวกเราที่ขึ้นไปอยู่ที่วัดป่างิ้ว โดยไม่ให้เขารู้ว่าผู้ซักถามเขานั้นเปนใคร เช่นถามว่าเดี๋ยวนี้นักเรียนช่างก่อสร้างไปเรียนกันที่ไหน การกินการอยู่เปนอย่างไร การไปมาสะดวกไหม มีนักเรียนตามไปเรียนเท่าใด ครูบาอาจารย์ติดตามขึ้นไปสอนกี่คนแล้ว ตอนนี้หมอนั่นบอกว่ามีเกือบครบแล้วครับ เว้นแต่อาจารย์พิเศษกับอาจารย์ประจำอีกเพียงคนสองคน
จึงถามเขาต่อไปว่าอาจารย์ประจำที่ว่าขาดน่ะใครบ้าง เขาออกชื่อผู้เขียนก่อนแล้วก็ชื่อคนอื่นๆอีกสองคน จึงถามเขาต่อไปว่าอาจารย์-(ออกชื่อตัวเอง)น่ะเคยเห็นตัวเขาหรือยัง เขาบอกว่าดูเหมือนจะเคยเห็นแต่จำหน้าไม่ใคร่ได้ แต่ได้ยินกิติศัพท์เขาลือกันว่าดุชะมัด แล้วแถมออกความเห็นต่อไปว่าป่านนี้ทำไมถึงยังไม่ตามไปสอนก็ไม่รู้ หรือมัวไปนอนสบายอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่ทราบ เครื่องอัดเสียง
ขณะนั้นคุณสฤษดิ์ สุรพล เพื่อนครูคนหนึ่งเดินกึกๆมาหาแล้วร้องทักขึ้นว่า “เฮ้! (ออกชื่อผู้เขียน), จะไปปทุมเหรอ?” พิธีล้วงตับก็เลยแตก เจ้าหนุ่มเฟรชีตีหน้าปุเลี่ยนๆท่าทางเอียงอายยังกะสาวๆ แต่ครั้นรู้ว่าเป็นเลือด ก.ส.ด้วยกันแล้ว ก็รีบกุลีกุจอช่วยเหลือต่างๆเป็นอย่างดี เป็นอันว่าข้าพเจ้าเคราะห์ดีอีกที่ได้เพื่อนครูและนักเรียนร่วมเดินทางไป ด้วยกัน แก้เหงาและหมดวิตกว่าจะต้องเงอะงะซมซานไปแต่ตัวคนเดียว
“เล่าจ๋อง” ผู้บันทึก
ขอขอบคุณข้อมูลจาก เพจแฟนคลับ ยุทธ บางขวาง (อรรถยุทธ พวงสุวรรณ)
เมื่อ "อุเทนถวาย" ต้องย้ายไปเรียนที่ปทุมธานี เพื่อหนีภัยสงคราม(เล่าโดยอาจารย์) ตอนที่ 2
thaispygadget