
พอได้เวลา ๙.๐๐ น.กว่าๆ เจ้าเรือแดงพาหนะคู่ทุกข์คู่ยากของชาวอพยพหลบภัยก็ออกเรือเสียงดัง ชึ่งๆๆ พาผู้โดยสารซึ่งอัดกันแน่นเป็นปลากระป๋องออกกลางลำน้ำบ่ายหน้าไปสู่ทิศเหนือ เราชาว ก.ส.จับกลุ่มนั่งคุยแก้เหงามาในเรือซึ่งตอนนั้นเดินเครื่องเป็นทำนองเพลง “ถึงก็ชั่งไม่ถึงก็ชั่ง” คุยพลางชมภูมิภาพงามๆริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาไปพลาง เบื่อภาพธรรมชาติก็หันมาชมภาพมนุษย์งามๆในเรือไปบ้าง วนเวียนอยู่แต่เรื่องเหล่านี้จนเบื่อแล้วเบื่ออีก
ถึงเวลาราว ๑๖.๐๐ น. เรือมาถึงที่แห่งหนึ่งซึ่งสฤษดิ์ชี้ให้ดูว่า “นั่นไง,จังหวัดปทุม” ข้าพเจ้าจัดแจงแต่งตัวให้รัดกุมและเก็บข้าวของ สฤษดิ์แปลกใจถามว่า “นั่นจะเตรียมตัวไปไหน?” ตอบว่า “อ้าว,ไม่ลงที่นี่ดอกหรือ” เขาตอบว่า “ยัง, ให้ถึงอำเภอสามโคกเสียก่อน” ตกลงผู้เขียนต้องเป็นฝ่ายตีหน้าปุเลี่ยนๆบ้าง เรือแล่นเปะปะมาอีกประมาณสักชั่วโมงครึ่ง สฤษดิ์บอกว่าถึงสามโคกแล้ว ผู้เขียนเตรียมตัวอีก เขาตั้งคำถามเหมือนอย่างคราวก่อน ก็ตอบเขาไปเหมือนอย่างคราวก่อน สฤษดิ์บอกว่า “ยัง, ยังไม่ใช่ที่นี่ โรงเรียนเราอยู่ที่วัดป่างิ้ว ไปจากนี่อีกประมาณ ๑๕ นาฑี” ข้าพเจ้าฉุนขึ้นมาบ้างจึงต่อว่า “อูวะ, จะบอกเสียให้ละเอียดเลยทีเดียวก็ไม่ได้ว่าป่างิ้ว, สามโคก, ปทุม, น่ะมันอยู่คนละแห่ง” หมอนั่นศอกกลับเข้าให้ว่า “อุวะ ไม่ถามเสียให้ละเอียดนี่ว่ามันอยู่คนละแห่งหรือเปล่า?” แล้วอีก็ยิ้ม อย่างว่าสงสารข้าพเจ้าเสียเหลือเกินแล้ว
เครื่องดักฟัง
เรือแล่นต่อมาอีกประมาณสิบห้านาฑีอย่างว่า เฟรชีหน้าใหม่ของเราก็ชี้มือไปทางฝั่งขวาของลำน้ำบอกข้าพเจ้าว่า “นั่นไงครับ, โรงเรียนของเรา” ออกจะรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย มองตามมือที่ชี้ เห็นมีสพานไม้จริงท่าทางแข็งแรงยื่นยาวลงมาที่ตลิ่งประมาณสักสิบวา ถัดลงมาเป็นแพลูกบวบไม้ไผ่ข้าง บนแพปูไม้กระดาน มีเสาไม้จริงขนาบสองต้น เรือเบนหัวกะชึ่งเข้าไปที่แพซึ่งมีหนุ่มๆยืนออกันอยู่มากหน้าหลายตา ที่ตั้งใจมารับเพื่อนฝูงมีมาก ที่ตั้งใจมา “แล” คนสวยๆในเรือก็มีบ้าง พอข้าพเจ้าโผล่หน้าออกไปพวกชาว ก.ส.หน้าเก่าๆก็ร้องบอกต่อๆกันไปราวกับขานยามว่า “อาจารย์-มาแล้วเว้ยๆ” แล้วก็เอาเป็นธุระช่วยขนของของพวกเราพาไปส่งยังบ้านที่เขาจัดไว้ให้เป็นที่ พัก
เครื่องบันทึกเสียง
ถึงตอนนี้ต้องขออธิบายภูมิประเทศของร.ร.ช่างไม้วัดป่างิ้วสักหน่อย สมมุติว่าถ้าท่านนั่งอยู่ในเรือยนต์ห่างจากฝั่งสักนิดหน่อย มีสิ่งสดุดตาท่านมากที่สุดก็เห็นจะได้แก่ทิวต้นสนซึ่งเขาปลูกไว้ริมรั้ว โรงเรียนขนานไปกับลำน้ำ ถัดไปเป็นสนามหญ้ารกรุงรัง ด้านซ้ายมือเป็นหอพักสำหรับครู ฝาทำด้วยเสาลำแพนหลังคามุงจากซึ่งเราปลูกใช้ชั่วคราว ยาวราวๆ ๑๕ เมตร กว้าง ๖ เมตร ส้วมใช้สังกะสีเป็นฝาและหลังคา มองตรงจากสพานข้ามสนามหญ้าไปเป็นตัวโรงเรียน เรือนไม้สองชั้นหลังคามุงกระเบื้องสีแดง เป็นเรือนสูงกว้างขวางดูสง่าพอใช้ ด้านข้างและหลังโรงเรียนเป็นบ้านพักครูปลูกไว้แต่เดิม ๔-๕ หลัง
แต่อะไรๆทั้งหมดก็ไม่สำคัญเท่าต้นสนที่ขึ้นอยู่ริมน้ำ เพราะว่าบริเวณตั้งแต่ตัวจังหวัดปทุมขึ้นมา ไม่มีใครปลูกต้นสนเป็นทิวแถวยืดยาวอีกเลยนอกจากร.ร.ช่างไม้วัดป่างิ้วนี้ แห่งหนึ่ง กับที่ร.ร.ดัดสันดานเด็กที่เกาะใหญ่ (อยุธยา) ซึ่งอยู่เลยไปทางเหนืออีกแห่งหนึ่งเท่านั้น เพราะฉนั้นถ้าเรือมอเตอโบทหรือเรือเขียวเรือแดงผ่านมาในตอนเย็นๆ ขณะที่พวกน.ร.กำลังทรงผ้าขาวม้าโดดน้ำดำผุดดำว่ายกันอยู่ละก้อ มักจะได้ยินเสียงโหวกเหวกมาจากในเรือว่า “ที่นี่ใช่ไหมคะคุณพี่ โรงเรียนดัดสันดานที่เขาเล่ากันน่ะ” ที่อวดรู้ก็ว่า “นั่นไง โรงเรียนดัดสันดาน ดูนักเรียนของเขาซิ ตัวล่ำๆหน้าตามันเอาเรื่องทั้งนั้น เห็นไหม” อย่างนี้ก็มี เล่นเอาพวกเราหูแดงไปตามๆกัน ที่อารมณ์เย็นหน่อยก็เห็นขัน แต่ก็ขันไปอย่างแกนๆทั้งนั้น
เครื่องติดตาม
พวกเราที่นั่นมักมีกิจธุระไประหว่างกรุงเทพฯกับป่างิ้วอยู่เนืองๆ ทางที่สดวกที่สุดมีสองทาง คือลงเรือยนตร์ที่แพหน้าร.ร.ตรงมากรุงเทพฯเลยอย่างหนึ่ง หรือไปขึ้นรถไฟที่สถานีเชียงรากน้อยซึ่งอยู่ห่างไกลกับร.ร.มากทางหนึ่ง ถ้าจะไปรถไฟเราต้องลงเรือจ้างแจวขึ้นไปทางเหนือประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วเลี้ยวเข้าคลองทางฝั่งขวามือเข้าไปอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง มิฉะนั้นต้องเดินตัดทุ่งนาราวๆหนึ่งชั่วโมงไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้ที่เคยเดินอยู่ในทุ่งแล้วมองดูรอบๆตัวคงจะมีความรู้สึกเหมือนๆกันอยู่ ประการหนึ่ง คือรู้สึกคล้ายกับว่าตัวเรายืนอยู่ในกระด้งใบใหญ่ ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่รอบๆตัวเราเขียวชะอุ่มไกลออกไปลิบๆนั้นเปรียบเหมือน ขอบกระด้ง ผู้ไม่ชำนาญเดินทุ่งดีไม่ดีหลงเอาง่ายๆ
คราวหนึ่งพวกครูช่างของเราสองสามคนขึ้นไปจากกรุงเทพฯ พักอยู่วัดป่างิ้วสองสามคืน ขากลับอยากจะมาถึงกรุงเทพฯเร็วๆ รีบตื่นแต่ตีสี่ล้างหน้าล้างตาเสร็จหิ้วกระเป๋าเดินทางออกทางหลังโรงเรียน กันเป็นแถว มีท่านผู้หนึ่งอาสาเป็นคนนำทาง ก้มหน้าก้มตาเดินกันอยู่เกือบสองชั่วโมง พอฟ้าสางคนหนึ่งถามผู้นำทางว่าจวนถึงหรือยัง ชักจะเมื่อยๆเสียแล้ว ไม่ทันที่ท่านผู้นำจะตอบ ผู้ตามอีกคนหนึ่งอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า “เอ๊ะ! นี่มันหลังโรงเรียนนี่แฮะ เดินไปเดินมาไง๋กลับมาที่เก่าได้เฮะ,” คนอื่นๆเห็นจริงด้วย อย่างอ่อนอกอ่อนใจเขาค่อยๆทะยอยกลับมานอนเอาแรงคอยเรือยนตร์เที่ยวต่อไป ทำความปลาดใจให้แก่คนอื่นๆเป็นอันมาก
“เล่าจ๋อง” ผู้บันทึก
ขอขอบคุณข้อมูลจาก เพจแฟนคลับ ยุทธ บางขวาง (อรรถยุทธ พวงสุวรรณ)
เมื่อ "อุเทนถวาย" ต้องย้ายไปเรียนที่ปทุมธานี เพื่อหนีภัยสงคราม(เล่าโดยอาจารย์) ตอนที่ 3
thaispygadget