ระหว่างทางเราแวะรับเพื่อนร่วมทางอีกคน ผู้ซึ่งผมไม่เคยพบหน้าแต่กลับเป็นคนสำคัญที่ชักชวนและตระเตรียมแผนการเดินทางในครั้งนี้ ก่อนที่เราจะนำรถบ่ายหน้าออกจากถนนใหญ่ แล้วทั้งสามชีวิตก็เดินทางตามถนนเส้นเล็กสายยาวสุดขอบสายตา ถนนสายนั้นพาเราผ่านทุ่งนา ไร่สัปรด และหมู่บ้าน พาเราไต่ขึ้นและลงตามความสูงต่ำของทิวเขาที่ทอดตัวยาวตระหง่าน ไม่นานนักถนนก็แปลภาพจากยางมะตอยเป็นดินลูกรังอัด ที่ในยามนี้ปกคลุมด้วยฝุ่นสีแดงที่หลับไหลสงบนิ่ง เมื่อรถแล่นผ่านลงบนถนนเหล่าบรรดาฝุ่นก็พากันตื่นเต้นดีใจลอยฟุ้งต้อนรับการมาถึงของพวกเรา ไม่นานนักถนนนั้นก็สิ้นสุดลงที่บ้านหลังหนึ่ง พวกเรานำรถเข้าสู่บริเวณบ้านอย่างช้าๆ ขบวนพาเหรดฝุ่นแดงที่เคยวิ่งตามเราสลายตัวลงอย่างช้าๆเช่นเดียวความตื่นเต้นของพวกมัน ดูราวกับจะเกรงใจเจ้าของบ้านที่กำลังยืนต้อนรับพวกเราด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้ม
“สวัสดีครับพี่นัท”
ผู้ร่วมทางของเรากล่าวทักทายขึ้นก่อน และแทบไม่รอช้าผมและพี่อีกคนต่างยกมือไหว้ กล่าวสวัสดีกลุ่มเจ้าบ้านที่กำลังยืนต้อนรับเราและพวกเขาก็ทำเช่นเดียวกัน หลังจากที่กล่าวทักทายทำความรู้จักกันเป็นที่เรียบร้อย พวกเราทุกคนต่างได้ทำการตรวจสอบสัมภาระและเสบียงให้เรียบร้อยอีกครั้งก่อนออกเดินทาง และเราทุกคนก็ต้องพากันประหลาดใจปนขบขันเมื่อพบว่า บอล ผู้ที่นัดแนะเตรียมการเดินทางในครั้งนี้ ลืมสัมภาระจำเป็นแทบทุกอย่างที่ต้องใช้ จะมีก็เพียงแต่ เสื้อผ้าที่ใส่ติดตัว และ ace 400i อีกเครื่องเท่านั้น
ดังนั้นแล้วเราจึงจำเป็นต้องย้อนกลับไปในเมืองใกล้ๆเพื่อซื้อของที่จำเป็นอีกครั้ง หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าได้ของที่จำเป็นครบแล้ว เราจึงมุ่งหน้าสู่ทิวเขาชายแดนตะวันตกอีกครั้ง หลังจากรถกระบะของเจ้าถิ่นพาพวกเราทั้ง 6 ชีวิต ควบตะบึงหัวสั่นหัวคลอนตามความขรุขระของพื้นถนนมาได้สักระยะ สุดท้ายรถก็จอดตรงบริเวณชายป่าแห่งนึง ซึ่งก่อนหน้านี้ผมได้รับคำบอกเล่ามาแล้วว่า เมื่อถึงที่หมายให้นำสัมภาระทุกอย่างลงจากรถอย่างรวดเร็ว โดยไม่รอช้า ผมกระโดดลงจากกระบะรถ มือคว้ากระเป๋า และดีเทคเตอร์อีกเครื่อง แล้วโจนลงข้างทางซึ่งเป็นป่าเตี้ยๆ เมื่อทุกคนตามมาจนครบ รถกระบะก็ปั่นฝุ่นคลุ้งใส่หน้าออกตัวไปลับตาทิ้งพวกเราไว้ข้างทาง
พวกเรารวมกลุ่มอีกครั้งในร่มไม้พุ่มป่า คุณลุง พรานป่าชาวม้งรูปร่างสันทัด หน้าตาสดใสขัดกับวัยอาวุโส ใส่เสื้อเชิ้ตลายสก๊อตรองเท้าบูตยาง สะพายย่ามกระสอบพร้อมปืนแก๊ปกระบอกยาว ยืนอธิบายเส้นทางในการเดินทางครั้งนี้ให้ทุกคนฟัง “โอ๊ย ใกล้นิดเดียวนึกว่าไกล แค่นี้สบายมาก” บอลทะลุขึ้นมากลางป้อง ในขณะที่ในใจของผมนั้นกลับคิดว่า
“มึงไม่รู้จักกิโลแม้วซะแล้ว”
และในทันใด คุณลุงก็หันหลังและออกก้าวเดินแหวกพงป่านำหน้าพวกเราไป
เขาสูงชันเบื้องหน้าตั้งตระหง่าน พยายามแหงนมองเพียงไรก็ไม่เห็นสีฟ้าของท้องฟ้า มีเพียงกิ่งไม้และเถาวัลย์ที่เกาะเกี่ยวเลื้อยขึ้นไปบนคาคบ เส้นทางเดินค่อยๆเพิ่มระดับความสูงชัน ผมรู้สึกแปลกใจที่เห็นว่า คนทั้งสามไม่มีกระติกน้ำ หรือน้ำติดตัวมาเลยในขณะที่พวกเราอีกสามคน ต่างสะพายและพกน้ำกันมาอย่างเต็มที่ พวกเราสี่คนเริ่มล้า อากาศที่เริ่มร้อนในยามบ่ายทำให้เราต้องกินน้ำกันตลอดทาง ในขณะที่อีกสองคน เดินอย่างไม่อ่อนล้ามุ่งหน้าขึ้นลงเขาไปเรื่อยๆ ในที่สุดผมได้ยินเสียงน้ำไหลมาแต่ไกล เราเร่งฝีเท้ากันอีกนิดเพราะลุงบอกกับเราว่าตรงลำธารจะเป็น จุดหยุดพักแรกของเราในการเดินทาง ไม่นานนักลำธารสายน้อยกลางป่าก็เผยตัวให้เราได้ยล น้ำเย็นไหลเอื่อยๆแต่ว่าใสดุจแก้ว ผมปลดสัมภาระวางลงเตรียมจะวักน้ำล้างหน้าล้างตาชำระความเหนื่อยอ่อน
แต่ทันใดก็มีเสียงจากด้านหลังบอกว่า
“ถ้าจะกินน้ำให้เอาไปไม้มาตักกิน ห้ามกินด้วยมือ หรือก้มลงไปดื่ม เราไม่ใช่สัตว์”
ผมเงยหน้าขึ้นพยักหน้า ทุกคนต่างปลดสัมภาระแล้วเดินหาใบไม้ขนาดเหมาะสมมาพับเป็นรูปกรวย เดินหาทำเลน้ำไหลเหมาะๆแล้วตักขึ้นมาดื่มอย่างกระหาย ถึงตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไม ชาวม้งเจ้าถิ่นถึงไม่พกน้ำมาด้วย คำบอกเล่าทำให้ผมทราบว่าเส้นทางนี้ยังต้องตัดข้ามลำธารขนาดเล็กอีกหลายสาย ก่อนที่จะไปยังที่พักแรมของเราในคืนนี้ ซึ่งเป็นลำธารขนาดใหญ่
ไม่น่าเชื่อว่าบนเขาสูงแห่งนี้จะมีน้ำอุดม แตกต่างกับภูเขาอื่นๆที่ผมเคยพานพบมา ผมนั่งลงพัก บางคนนอนผึ่ง หรือหามุมสบายๆ ผมพยามแทรกกายให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของป่า
“อันนี้ คือครึ่งทางแล้วใช่ไหม” เสียงบอลดังขึ้นในความเงียบ
“โอ๊ย ยังไม่ได้เริ่มเลย” ลุงตอบ
แล้วทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ความเงียบงันอีกครั้ง ........โปรดติดตามตอนต่อไป