ในยุคเรื่มแรกของเครื่องตรวจโลหะ เทคโนโลยีแรกๆที่ทุกคิดค้นขึ้นมานั้น ก็คือเครื่องแบบ BFO (Beat Frequency Oscillators) หากไม่ทราบว่าเป็นแบบไหนขอให้ย้อนกลับไปอ่านในบทความก่อนๆได้ เครื่องแบบนี้ อาศัยจานค้นหาแบบ ซิงเกิลลูปหรือจานค้นหาที่มีขดลวดเพียงชุดเดียวเท่านั้น หรือแม้กระทั่งเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นทีหลังอย่างเช่นเครื่อง Pulse Induction (จะกล่าวถึงในบทต่อๆไป) ก็ยังมีการใช้จานค้นหาแบบขดลวดชุดเดียวอยู่ (จากนี้จะขอเรียกว่า โมโนลูป) โดยทำหน้าที่ทั้งส่งและรับ ในขดลวดชุดเดียวกัน ตัวอย่างของโมโนลูปในท้องตลาด
ในยุคต่อมามีการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องตรวจจับโลหะประเภทที่เรียกว่า I/B (Induction Balance) หรือ T/R (Transmit / Receive) หรือ VLF (Very Low Frequency) ซึ่งอาศัยหลักการสนามแม่เหล็กไฟฟ้าการสมดุลเหนี่ยวนำ ซึ่งได้กล่าวถึงแล้วในบทก่อนๆ จึงต้องมีการคิดค้นจานค้นหาใหม่ๆด้วยเช่นกัน และจานค้นหาที่นำมาใช้สำหรับเครื่องตรวจโลหะประเภทนี้ก้อคือ จานประเภท Coaxial, Double O, Figure 8, Double D, Orthogonal, Concentric (ที่เห็นจะเป็นที่นิยมมากที่สุดก็คือ Concentric )
ในรูปภาพด้านบนนี้อาจมีคนเคยเห็นผ่านตามาบ้าง แต่ที่ยังคงเห็นได้ทั่วไปในปัจจุบันนั้นก้อคือ จานค้นหาประเภท ดับเบิลดี คอนเซ็นตริก และ โมโน ถามว่าจานค้นหาที่เห็นได้ทุกวันนี้คือจานค้นหาที่ดีที่สุดใช่หรือไม่ คำตอบก็คือ ทั้งใช่และไม่ใช่ เนื่องด้วยเหตุผลทางด้านความสวยงาม การใช้งานและการตลาดของเครื่องแต่ละยี่ห้อดังที่จะเอ่ยต่อไปนี้
1.จาน โคแอ็กเชี่ยล Coaxial coil หรือจานแพนเค้ก เป็นจานค้นหาที่มีขนาดเล็ก สร้างขึ้นโดยอาศัย การซ้อนทับกันของขดลวดรับและส่ง ถูกคิดค้นโดย อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ เช่นเดียวกัน แต่ถูกนำมาใช้อย่างจริงจัง โดย แกแรต ในช่วงปี 2510 จานค้นหาแบบนี้ ได้เปรียบมากในเรื่องของ ทิศทางของสนามแม่เหล็กที่ถูกควบคุมไว้ภายในบริเวณตรงกลางจานค้นหาทำให้ค้นหาของได้อย่างแม่นยำ ใช้งานได้แม้อยู่ใกล้โลหะชนิดอื่นที่อยู่ใกล้ เช่นแนวรั้ว และได้เปรียบมากในเรื่องของการป้องกันสัญญาณรบกวนจากภายนอก แต่มีข้อเสียหลักคือความลึกที่ออกจะน้อยไปเมื่อเทียบกับจานค้นหาประเภทอื่นๆ
2.จาน ดับเบิ้ลโอ Double-O เป็นจานค้นหาแรกๆที่ถูกคิดค้นขึ้น หากใครตามอ่านจะทราบดีว่าในบทแรกเรากล่าวถึงประวัติศาสตร์ของเครื่องตรวจโลหะ ที่กล่าวถึง นักประดิฐษ์นาม อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ ที่คิดค้นเครื่องขึ้นมาเพื่อตรวจหากระสุนในร่างกายของประธานธิบดี และจานค้นหาแบบนี้ก็ถูกคิดค้นละใช้เป็นครั้งแรก โดยการวางขดลดสองวงเหลื่อมกัน ดูแล้วเหมือน ตัวโอสองตัว จึงถูกเรียกว่า ดับเบิ้ลโอ ซึ่งข้อดีของจานชนิดนี้ คือ สามารถใช้ค้นหาในดินที่มีแร่สูงได้ โดยถูกรบกวนน้อยมากเมื่อเทียบกับจานค้นหาชนิดอื่น แต่มีข้อเสียที่เป็นหลักคือ ขนาดที่ใหญ่ รูปร่างหน้าตาไม่สวยงาม และน้ำหนักมาก จึงไม่ได้รับความนิยม
3.จานค้นหารูปเลข 8 Figure 8 coil จานแบบนี้ถูกออกแบบมาตั้งแต่ช่วงปี 2460 โดยถูกจดเป็นสิทธิบัตร สาเหตุที่ถูกเรียกว่าจานค้นหาเลข 8 นั่นก็เป็นเพราะว่าการจัดวางขดลวดภายในนั้น ทำเป็นลักษณะ บิดให้โค้งงอตรงกลางเหมือนรูปเลข 8 จานแบบนี้มีข้อดีหลักๆก็คือสามารถป้องกันสัญญาณรบกวนจากภายนอกได้เป็นอย่างดีเยี่ยม และยังรับมือกับการรบกวนของแร่ได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามการออกแบบจานค้นหานี้ ไม่ได้รับความนิยมนัก เนื่องจากข้อด้อยหลักๆ 2 ประการ ประการแรกคือ บริเวณที่ขดลวดถูกบิดไขว้กันจะไม่สามารถตรวจหาโลหะได้(ไม่มีการส่งสนามแม่เหล็กออกมาในบริเวณนั้น) ประการที่สอง หากนำเอาจานค้นหาชนิดนี้ไปใช้กับเครื่องตรวจจับโลหะทั่วไป การแยกประเภทโลหะทำจะได้เฉพาะบริเวิณ ด้านบนของเลข 8 หรือด้านล่างของเลข 8 เท่านั้น(เช่นหากเครื่องตั้งตัดเหล็กไว้ ก็จะตัดได้เฉพาะเวลาที่ชิ้นเหล็กอยู่ใต้ส่วนบนของเลข 8 เครื่องจะเงียบ แต่เมื่อเลื่อนจานค้นหาขึ้นจนกระทั่งเหล็กไปอยู่บริเวณด้านล่างเลข 8 เครื่องก็จะส่งสัญญาณว่าเจอโลหะ) ยกเว้นจะใช้กับเครื่องที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ จึงทำให้ไม่ได้รับความนิยมและหายไปในที่สุด (ติดตามตอนต่อไป)
อ่านบทความอื่นๆ เกี่ยวกับเครื่องตรวจจับโลหะ
เทคโลยีจานค้นหาตอนที่ 2
บทความเกี่ยวกับ เครื่อง Quest
บทความเกี่ยวกับ เครื่อง Equinox
บทความเกี่ยวกับ เครื่อง Garrett
เรื่องเล่านักล่าสมบัติ เปิดกรุสมบัติสุสานป่าพม่า