จากตอนที่ผ่านมา เราคงพอได้ทราบแล้วว่า ความลับเบื้องหลังการทำงานของเครื่องตรวจจับโลหะนั้นเป็นอย่างไรบ้าง อย่างที่ผมค้างไว้ตั้งแต่ตอนแรก ว่าเทคโนโลยีหลักๆที่ถูกนำมาใช้ในปัจจุบัน นั้น มี BFO VLF และ PI ซึ่งบทที่ผ่านมาผมได้พูดถึง BFO ไปแล้ว
ในวันนี้จะขอพูดถึง เครื่องตรวจจับโลหะ ชนิด VLF (very low frequency) หรือที่เรียกกันง่ายๆว่าเครื่องความถี่ต่ำมาก หลายๆครั้งมักจะถูกเรียกว่า T/R (transmit / receive) หรือ I/B (induction balance) โดยสาเหตุที่เครื่องประเภทนี้ถูกเรียกว่าเครื่องความถี่ต่ำนั่นก็เป็นเพราะ ความถี่ที่นำมาใช้สร้างสนามแม่เหล็กกับเครื่องแบบนี้มักจะมีความถี่ที่ต่ำ อาจต่ำได้ถึง 1.25 KHz
โดยข้อได้เปรียบของความถี่ที่ต่ำนั้นทำให้ผู้ออกแบบเครื่อง สามารถลดความกังวลในเรื่องสัญญาณรบกวนที่จะเกิดขึ้นเมื่อเทียบกับเครื่องที่ใช้ความถี่สูง เช่นเครื่อง BFO ข้อได้เปรียบอีกอย่างของการใช้เครื่องความถี่ต่ำก็คือ ความสามารถในการจำแนกประเภทโลหะที่ค่อนข้างแม่นยำ กว่าเครื่องประเภทอื่นมากๆ ที่ในปัจจุบันเราเห็นเครื่องประเภทที่มีหน้าจอสามารถแสดงหมายเลขของโลหะให้ผู้ใช้ได้เห็น นั่นล่ะครับ รวมถึงความสามารถในการตัดเอาประเภทโลหะ ที่เราไม่ต้องการออกไปจากการค้นหาได้ด้วย ยอดเยี่ยมใช่ไหมละครับ!
แต่คำถามสำคัญที่ตามมาคือ แล้วทำไมเครื่องแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อ มีการเลือกใช้ความถี่ที่แตกต่างกันออกไป เครื่องบางรุ่น ใช้ 3KHz บางรุ่น 5 KHz บางรุ่น 7 KHz บางรุ่น 10, 13,15, 20........ไปจนถึง 71 KHz เลยก็มี นั่นสิทำไม นั่นก็เป็นเพราะว่าคลื่นความถี่ในแต่ละช่วง ต่างมีข้อดีและข้อด้อยแตกต่างกันไป ขึ้นกับสถานการณ์ที่นำเครื่องไปใช้งานครับ
โดยทั่วไปทางทฤษฎี ความถี่ที่ต่ำกว่ามีความสามารถในการทะลุทะลวงสูงกว่า สามารถใช้งานบริเวณทะเลได้ดี แต่จำแนกประเภทโลหะได้ค่อนข้างแย่ และมักไม่เจอของขนาดเล็ก ในขณะที่ ความถี่ที่สูงขึ้น เช่น 50 KHz สามารถตรวจจับเกล็ดทองขนาดเล็กมากๆได้ แต่หากนำไปใช้ชายทะเลอาจถึงขั้นเพี้ยนไปเลยทีเดียว แล้วอะไรคือความถี่ทีดีที่สุด? ตอบยากครับ เพราะถ้าตอบคำถามข้อนี้ได้ เครื่องตรวจจับโลหะทุกรุ่นทุกยี่ห้อ คงจะเลือกใช้ ความถี่เหมือนกันไปหมดแล้ว แต่จากการทดลองและลองผิดลองถูก เราจึงจำแนกเครื่อง ความถี่ต่ำออกเป็นอีก 3 ประเภทหลักๆ คือ
1.Relic hunter เครื่องที่ออกแบบมาสำหรับหาวัตถุโลหะขนาดใหญ่ที่อยู่ลึก เช่นมีดดาบ ปืน หรือยุทโธปกรณ์ทางทหารยุดก่อน รวมถึงโบราณวัตถุขนาดใหญ่ พวกนี้ใช้ความถี่ต่ำกว่า 7 KHz ลงไป อาศัยจุดเด่นของความลึกโดยไม่สนใจการระบุชนิดโลหะเป้าหมายเจอเป็นขุด
2.Coin/Jewelry shooter หรือ general purpose ออกแบบมาเพื่อการใช้งานทั่วไป พวกนี้ใช้ความถี่ตั้งแต่ 8 -20 KHz ความลึกระดับกลาง เป็นช่วงความถี่ที่สามารถจำแนกประเภทโลหะได้อย่างแม่นยำ ตัดขยะได้ดีเยี่ยม ใช้ได้ทั้ง ชายหาดทะเล และบนบก เช่น Quest Q20 หรือ Garrett ace 400i เป็นต้น
3.และพวกทอง Gold seeker ที่มักจะมีความถี่ตั้งแต่ 40 -100 KHz กำลังสูงเพียงพอที่จะเหนี่ยวนำให้ทองชิ้นเล็กๆถูกตรวจพบได้
Minelab ctx3030 ตัวท๊อปสุดของเครื่องระบบหลายความถี่
และเพื่อต้องการตอบโจทย์ การใช้งานความถี่ที่ยุ่งยาก จึงมีวิศวกรหัวใส ออกแบบเครื่องหลายความถี่ เพื่อเอาใจผู้ใช้งานที่ต้องการความครอบคลุมแบบเครื่องเดียวได้ทุกรูปแบบ เครื่องพวกนี้ถูกเรียกว่า Multi frequency ซึ่งหลายคนอาจคิดว่าเป็นของใหม่ที่เพิ่งมี แต่แท้จริงแล้วเครื่องได้รับการคิดค้นมานานและถูกใช้ ในเครื่อง ฟิชเช่อร์ ตระกูล CZ ที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักกันดีในสายทะเลบ้านเรา (2 ความถี่) ข้อดีของการใช้หลายความถี่คือ สามารถจำแนกสัญญาณรบกวนจากเกลือหรือแร่ ได้อย่างแม่นยำมาก อีกทั้งยังสามารถระบุประเภทโลหะได้แม่นยำมากอีกด้วย รวมทั้งความลึกที่เหนือกว่า
ปัจจุบัน ผู้นำในตลาดเครื่องหลายความถี่นั้นก็คือ ไมน์แลป ผู้ผลิตจากออสเตรเลีย ที่ครองสิทธิบัตรการออกแบบมากมายนับไม่ถ้วน รวมถึงเทคโนโลยี หลายความถี่ ไม่ว่าจะเป็น FBS BBS FBS2 และ ล่าสุด Multi-IQ ซึ่งถูกใช้ในเครื่องตรวจจับโลหะ รุ่นเรือธง อย่าง Equinox 600 และ 800 เป็นต้น